Windows Server คืออะไร ? มีกี่แบบ กี่ประเภท เลือกใช้งานยังไง

Windows Server คืออะไร มีกี่แบบ กี่ประเภท เลือกใช้งานยังไง

Windows Server คืออะไร?

Windows Server คือ ระบบปฏิบัติการ (Operating System) ที่พัฒนาโดย Microsoft ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป็น เซิร์ฟเวอร์ (Server) หรือเครื่องแม่ข่ายในระบบเครือข่าย ไม่เหมือนกับ Windows ที่ใช้ทั่วไปบนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เพราะถูกออกแบบมาให้มีคุณสมบัติและความสามารถที่มุ่งเน้นการให้บริการ จัดการ และควบคุมระบบเครือข่าย รวมถึงการประมวลผลข้อมูลจำนวนมากพร้อมกัน

ทำไมต้องใช้ Windows Server?

Windows Server มีบทบาทสำคัญในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและองค์กร เนื่องจากมีความสามารถที่ระบบปฏิบัติการทั่วไปไม่มี ดังนี้

1. การจัดการทรัพยากรส่วนกลาง (Centralized Resource Management)

  • การจัดเก็บข้อมูลแบบรวมศูนย์ ช่วยให้องค์กรสามารถจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้ในที่เดียว ทำให้ง่ายต่อการจัดการ ควบคุม และสำรองข้อมูล แทนที่จะกระจัดกระจายอยู่ตามเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้แต่ละคน ซึ่งอาจทำให้เกิดความยุ่งยากในการดูแลรักษาและเสี่ยงต่อการสูญหายของข้อมูล
  • การควบคุมการเข้าถึง สามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลและทรัพยากรต่างๆ ให้กับผู้ใช้แต่ละคนหรือกลุ่มผู้ใช้ได้อย่างละเอียด เช่น ใครสามารถอ่าน เขียน หรือแก้ไขไฟล์ใดได้บ้าง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • การจัดการแอปพลิเคชัน สามารถติดตั้งและดูแลแอปพลิเคชันต่างๆ จากส่วนกลาง ทำให้ง่ายต่อการอัปเดตและบำรุงรักษา รวมถึงการควบคุมการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ ในองค์กร
  • ลดความซ้ำซ้อน การจัดการทรัพยากรส่วนกลางช่วยลดความซ้ำซ้อนของข้อมูลและแอปพลิเคชัน ทำให้ประหยัดพื้นที่จัดเก็บและลดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา

2. การให้บริการแก่ผู้ใช้หลายคน (Multi-User Support)

  • การเข้าถึงพร้อมกัน Windows Server ออกแบบมาเพื่อรองรับการเข้าถึงและใช้งานทรัพยากรพร้อมกันจากผู้ใช้จำนวนมาก เช่น การแชร์ไฟล์ การพิมพ์ การเข้าถึงเว็บไซต์ หรือการใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ โดยไม่เกิดปัญหาคอขวดหรือประสิทธิภาพลดลง
  • การจัดการผู้ใช้ มีเครื่องมือสำหรับการจัดการบัญชีผู้ใช้ เช่น การสร้าง ลบ แก้ไข และกำหนดสิทธิ์การใช้งาน ทำให้ง่ายต่อการควบคุมและจัดการผู้ใช้ในองค์กร
  • การให้บริการต่างๆ สามารถให้บริการต่างๆ แก่ผู้ใช้ในเครือข่าย เช่น บริการไฟล์ บริการพิมพ์ บริการเว็บ บริการอีเมล และบริการฐานข้อมูล ทำให้ผู้ใช้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ความเสถียรและความน่าเชื่อถือ (Stability and Reliability)

  • การทำงานต่อเนื่อง Windows Server ออกแบบมาเพื่อทำงานอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ โดยไม่จำเป็นต้องรีสตาร์ทบ่อยๆ เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความพร้อมใช้งานตลอดเวลา เช่น เว็บไซต์ อีเมล หรือระบบฐานข้อมูล
  • การจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ มีกลไกในการจัดการทรัพยากรของเครื่อง (เช่น CPU, RAM, หน่วยความจำ) อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างราบรื่นและเสถียร แม้ในขณะที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก
  • การกู้คืนระบบ มีเครื่องมือและคุณสมบัติสำหรับการสำรองข้อมูลและการกู้คืนระบบ ช่วยลดความเสี่ยงจากการสูญหายของข้อมูลและลดเวลาหยุดทำงานในกรณีที่เกิดปัญหา

4. ความปลอดภัย (Security)

  • การควบคุมการเข้าถึง มีระบบควบคุมการเข้าถึงที่ละเอียด เช่น การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงไฟล์ โฟลเดอร์ และทรัพยากรอื่นๆ ทำให้มั่นใจได้ว่าเฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้
  • การเข้ารหัสข้อมูล รองรับการเข้ารหัสข้อมูลทั้งในขณะจัดเก็บและในขณะรับส่งข้อมูล ช่วยป้องกันการดักจับและโจรกรรมข้อมูล
  • การป้องกันภัยคุกคาม มีคุณสมบัติและเครื่องมือสำหรับการป้องกันภัยคุกคามต่างๆ เช่น ไฟร์วอลล์ ระบบป้องกันไวรัส และระบบตรวจจับการบุกรุก
  • การจัดการนโยบายความปลอดภัย สามารถกำหนดนโยบายความปลอดภัยต่างๆ ให้กับผู้ใช้ในองค์กร เช่น นโยบายรหัสผ่าน นโยบายการติดตั้งซอฟต์แวร์ และนโยบายการเข้าถึงเครือข่าย

5. การจัดการเครือข่าย (Network Management)

  • การกำหนด IP address สามารถกำหนด IP address ให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ ในเครือข่าย ทำให้สามารถสื่อสารกันได้
  • การจัดการโดเมน (Domain Management) สามารถสร้างและจัดการโดเมน (เช่น example.com) เพื่อควบคุมการเข้าถึงทรัพยากรในเครือข่าย และจัดการบัญชีผู้ใช้
  • การควบคุมการเข้าถึงเครือข่าย สามารถควบคุมการเข้าถึงเครือข่าย เช่น การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต หรือการบล็อกเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม
  • การจัดการบริการเครือข่าย สามารถให้บริการเครือข่ายต่างๆ เช่น DNS (Domain Name System), DHCP (Dynamic Host Configuration Protocol) และ VPN (Virtual Private Network)

Windows Server ทำหน้าที่อะไร?

Windows Server สามารถทำหน้าที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าและการใช้งาน เช่น

  1. Web Server (ให้บริการเว็บไซต์และแอปพลิเคชันบนอินเทอร์เน็ตหรืออินทราเน็ต)
  • การให้บริการเว็บไซต์ Windows Server สามารถใช้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับโฮสต์เว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ทั่วไป เว็บแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ โดยใช้โปรแกรม Internet Information Services (IIS) ซึ่งเป็น Web Server ของ Microsoft ในการจัดการ
  • การรองรับภาษาโปรแกรม IIS รองรับภาษาโปรแกรมต่างๆ เช่น ASP.NET, PHP, และ Node.js ทำให้สามารถพัฒนาและใช้งานเว็บไซต์ที่หลากหลายได้
  • การจัดการทราฟฟิก มีคุณสมบัติในการจัดการทราฟฟิกหรือปริมาณผู้เข้าชมเว็บไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้มีผู้เข้าชมจำนวนมาก
  • การรักษาความปลอดภัย มีระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันเว็บไซต์จากภัยคุกคามต่างๆ เช่น การโจมตีแบบ DDoS หรือการแฮ็ก

ตัวอย่าง องค์กรสามารถใช้ Windows Server เป็น Web Server สำหรับโฮสต์เว็บไซต์ของบริษัท เว็บแอปพลิเคชันสำหรับลูกค้า หรือระบบ Intranet สำหรับใช้งานภายในองค์กร

  1. File Server (จัดเก็บและแชร์ไฟล์ให้กับผู้ใช้ในเครือข่าย)
  • การจัดเก็บไฟล์แบบรวมศูนย์ Windows Server ช่วยให้องค์กรจัดเก็บไฟล์ทั้งหมดไว้ในที่เดียว ทำให้ง่ายต่อการจัดการ ควบคุม และสำรองข้อมูล
  • การแชร์ไฟล์ ผู้ใช้ในเครือข่ายสามารถเข้าถึงและแชร์ไฟล์ต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย โดยมีการควบคุมสิทธิ์การเข้าถึง เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล
  • การควบคุมเวอร์ชัน มีคุณสมบัติในการควบคุมเวอร์ชันของไฟล์ ทำให้สามารถย้อนกลับไปใช้ไฟล์เวอร์ชันเก่าได้หากจำเป็น
  • การสำรองข้อมูล มีเครื่องมือสำหรับการสำรองข้อมูล เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูลในกรณีที่เกิดปัญหา

ตัวอย่าง พนักงานในบริษัทสามารถใช้ File Server ในการจัดเก็บและแชร์ไฟล์งานร่วมกัน ทำให้การทำงานเป็นทีมมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

  1. Database Server (จัดเก็บและจัดการฐานข้อมูล)
  • การจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ Windows Server สามารถใช้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับติดตั้งและใช้งานระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) เช่น Microsoft SQL Server เพื่อจัดเก็บและจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ
  • การเข้าถึงข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ DBMS ช่วยให้สามารถเข้าถึงและเรียกใช้ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • การรักษาความปลอดภัยของข้อมูล มีระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • การสำรองและกู้คืนข้อมูล มีเครื่องมือสำหรับการสำรองและกู้คืนข้อมูล เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูล

ตัวอย่าง บริษัทสามารถใช้ Database Server ในการจัดเก็บข้อมูลลูกค้า ข้อมูลสินค้า หรือข้อมูลการเงิน

  1. Mail Server (ให้บริการรับส่งอีเมล)
  • การรับและส่งอีเมล Windows Server สามารถใช้เป็น Mail Server เพื่อรับและส่งอีเมลภายในองค์กรหรือกับภายนอก โดยใช้โปรแกรม Microsoft Exchange Server
  • การจัดการกล่องจดหมาย มีคุณสมบัติในการจัดการกล่องจดหมายของผู้ใช้ เช่น การสร้าง ลบ แก้ไข และกำหนดโควต้า
  • การป้องกันสแปมและไวรัส มีระบบป้องกันสแปมและไวรัส เพื่อความปลอดภัยของอีเมล
  • การเข้าถึงผ่านอุปกรณ์ต่างๆ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงอีเมลผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต

ตัวอย่าง บริษัทสามารถใช้ Mail Server เพื่อให้พนักงานสามารถรับส่งอีเมลภายในและภายนอกบริษัทได้อย่างสะดวก

  1. Domain Controller (จัดการบัญชีผู้ใช้ การเข้าถึงทรัพยากร และนโยบายความปลอดภัยในเครือข่าย)
  • การจัดการบัญชีผู้ใช้ Domain Controller ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการจัดการบัญชีผู้ใช้ในเครือข่าย เช่น การสร้าง ลบ แก้ไข และกำหนดสิทธิ์การใช้งาน
  • การควบคุมการเข้าถึงทรัพยากร ควบคุมการเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ในเครือข่าย เช่น ไฟล์ โฟลเดอร์ เครื่องพิมพ์ และแอปพลิเคชัน
  • การกำหนดนโยบายความปลอดภัย กำหนดนโยบายความปลอดภัยต่างๆ เช่น นโยบายรหัสผ่าน นโยบายการติดตั้งซอฟต์แวร์ และนโยบายการเข้าถึงเครือข่าย
  • การยืนยันตัวตน ตรวจสอบและยืนยันตัวตนของผู้ใช้ก่อนที่จะอนุญาตให้เข้าถึงทรัพยากรในเครือข่าย

ตัวอย่าง เมื่อพนักงานเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ในบริษัท Domain Controller จะตรวจสอบและยืนยันตัวตนของพนักงาน และกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ให้ตามที่ได้รับอนุญาต

  1. Print Server (จัดการงานพิมพ์ในเครือข่าย)
  • การจัดการเครื่องพิมพ์ Print Server ช่วยจัดการเครื่องพิมพ์ต่างๆ ในเครือข่าย ทำให้ผู้ใช้สามารถพิมพ์งานไปยังเครื่องพิมพ์ที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย
  • การควบคุมคิวงานพิมพ์ จัดการคิวงานพิมพ์ เพื่อให้งานพิมพ์ถูกพิมพ์ตามลำดับ
  • การควบคุมการเข้าถึงเครื่องพิมพ์ กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงเครื่องพิมพ์ เพื่อควบคุมการใช้งาน
  • การตรวจสอบสถานะเครื่องพิมพ์ ตรวจสอบสถานะของเครื่องพิมพ์ เช่น กระดาษหมด หมึกหมด หรือมีปัญหาอื่นๆ

ตัวอย่าง พนักงานในบริษัทสามารถสั่งพิมพ์งานไปยังเครื่องพิมพ์ส่วนกลางผ่าน Print Server ทำให้สะดวกและประหยัดทรัพยากร

Windows Server มีกี่แบบ อะไรบ้าง?

Windows Server มีหลายแบบ แต่ละแบบมีความแตกต่างกันในด้านคุณสมบัติ ราคา และวัตถุประสงค์การใช้งาน โดยทั่วไปจะแบ่งตามรุ่น (Editions) ดังนี้

  • Essentials สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีผู้ใช้ไม่มาก เน้นการใช้งานง่ายและราคาประหยัด
  • Standard สำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีคุณสมบัติครบครันและรองรับการใช้งานที่หลากหลาย
  • Datacenter สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการความสามารถขั้นสูง เช่น การทำ Virtualization และ Cloud Computing

ข้อดีของ Windows Server

  • ใช้งานง่าย มีอินเทอร์เฟซที่คุ้นเคยสำหรับผู้ใช้ Windows

เนื่องจาก Windows Server มีพื้นฐานมาจาก Windows ที่ใช้กันทั่วไปบนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ทำให้ผู้ที่คุ้นเคยกับ Windows อยู่แล้วสามารถเรียนรู้และใช้งา ได้ง่าย อินเทอร์เฟซแบบ Graphical User Interface (GUI) ทำให้การจัดการและการตั้งค่าต่างๆ ทำได้สะดวกและเข้าใจง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้คำสั่ง Command Line มากนัก

  • มีการสนับสนุนและอัปเดตอย่างต่อเนื่องจาก Microsoft

Microsoft ให้การสนับสนุนและอัปเดตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านความปลอดภัย การแก้ไขข้อบกพร่อง และการเพิ่มคุณสมบัติใหม่ ทำให้มั่นใจได้ว่าระบบปฏิบัติการมีความปลอดภัยและทันสมัยอยู่เสมอ รวมถึงได้รับการแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างรวดเร็ว

  • มีเครื่องมือและคุณสมบัติมากมายสำหรับการจัดการเครือข่ายและเซิร์ฟเวอร์

มีเครื่องมือและคุณสมบัติที่หลากหลายสำหรับการจัดการเครือข่ายและเซิร์ฟเวอร์ เช่น Active Directory สำหรับการจัดการผู้ใช้และโดเมน, Group Policy สำหรับการกำหนดนโยบายความปลอดภัย, IIS สำหรับการให้บริการเว็บไซต์ และ Hyper-V สำหรับการทำ Virtualization ทำให้สามารถจัดการระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • รองรับแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์จำนวนมาก

รองรับแอปพลิเคชันและซอฟต์แวร์จำนวนมาก ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับโปรแกรมต่างๆ ที่ใช้ในธุรกิจหรือองค์กรได้อย่างหลากหลาย รวมถึงรองรับ Framework ต่างๆ ของ Microsoft เช่น .NET Framework

  • การผสานรวมกับผลิตภัณฑ์ Microsoft อื่นๆ

ทำงานได้อย่างราบรื่นกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Microsoft เช่น Microsoft 365, Azure และ SQL Server ทำให้การทำงานร่วมกันและการเชื่อมต่อระบบต่างๆ เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อเสียของ Windows Server

  • มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าระบบปฏิบัติการอื่น ๆ เช่น Linux

มีค่าลิขสิทธิ์ที่ต้องจ่าย ซึ่งอาจเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าระบบปฏิบัติการ Open Source อย่าง Linux ซึ่งใช้งานได้ฟรี ทำให้ต้องพิจารณางบประมาณในการใช้งาน

  • ต้องการทรัพยากรของเครื่อง (Hardware) สูง

ต้องการทรัพยากรของเครื่อง เช่น CPU, RAM และพื้นที่จัดเก็บ มากกว่าระบบปฏิบัติการทั่วไป เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้งานคุณสมบัติขั้นสูง เช่น Virtualization ทำให้ต้องลงทุนในฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพสูง

  • อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยหากไม่ได้ตั้งค่าอย่างถูกต้อง

แม้ว่าจะมีคุณสมบัติและเครื่องมือด้านความปลอดภัยมากมาย แต่หากไม่ได้ตั้งค่าและดูแลรักษาอย่างถูกต้อง ก็อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยได้ เช่น การตั้งค่า Firewall ที่ไม่เหมาะสม หรือการไม่อัปเดตระบบอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้น การดูแลรักษาและตั้งค่าระบบอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญ

  • ความซับซ้อนในการตั้งค่าสำหรับคุณสมบัติขั้นสูง

การตั้งค่าคุณสมบัติขั้นสูงบางอย่าง เช่น Active Directory หรือการทำ Virtualization อาจมีความซับซ้อนและต้องใช้ความรู้ความเข้าใจในระดับหนึ่ง ทำให้ต้องใช้ผู้ดูแลระบบที่มีความเชี่ยวชาญ

รุ่นและเวอร์ชันของ Windows Server

Windows Server มีการพัฒนาและออกเวอร์ชันใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น

Windows Server 2012

  • เป็นเวอร์ชันที่เปิดตัวในปี 2012 มีการปรับปรุงในด้าน Virtualization ด้วย Hyper-V ที่ดีขึ้น การจัดการพื้นที่จัดเก็บข้อมูล และการจัดการเครือข่าย
  • ข้อควรพิจารณา ปัจจุบัน Windows Server 2012 ได้สิ้นสุดการสนับสนุนหลักจาก Microsoft แล้ว (Mainstream Support ended) เหลือเพียงการสนับสนุนด้านความปลอดภัย (Extended Support) ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 10 ตุลาคม 2023 ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ใช้งานในระบบใหม่ ควรพิจารณาอัปเกรดเป็นเวอร์ชันที่ใหม่กว่า

Windows Server 2012 R2

  • เป็นเวอร์ชันปรับปรุงของ Windows Server 2012 มีการเพิ่มประสิทธิภาพและความเสถียร รวมถึงคุณสมบัติใหม่ๆ เช่น การปรับปรุง Hyper-V และการจัดการเครือข่าย
  • ข้อควรพิจารณา เช่นเดียวกับ Windows Server 2012 เวอร์ชั่นนี้ก็สิ้นสุดการสนับสนุนหลักแล้ว เหลือเพียงการสนับสนุนด้านความปลอดภัย (Extended Support) ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 10 ตุลาคม 2023 เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ใช้งานในระบบใหม่

Windows Server 2016

  • เปิดตัวในปี 2016 เน้นการปรับปรุงด้านความปลอดภัยด้วยคุณสมบัติใหม่ๆ เช่น Shielded Virtual Machines และ Credential Guard รวมถึงการปรับปรุงด้าน Software-Defined Datacenter และ Container technology
  • ข้อควรพิจารณา Windows Server 2016 ได้สิ้นสุดการสนับสนุนหลักแล้ว เหลือเพียงการสนับสนุนด้านความปลอดภัย (Extended Support) ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 11 มกราคม 2027 หากต้องการใช้งาน Windows Server ในระยะยาว ควรพิจารณาเวอร์ชันที่ใหม่กว่า

Windows Server 2019

  • เปิดตัวในปี 2018 เน้นการปรับปรุงในด้าน Hybrid Cloud การรักษาความปลอดภัย และแพลตฟอร์มแอปพลิเคชัน มีคุณสมบัติใหม่ๆ เช่น Windows Admin Center และ Storage Migration Service
  • ข้อควรพิจารณา Windows Server 2019 ยังคงได้รับการสนับสนุนจาก Microsoft แต่ควรพิจารณา Windows Server 2022 หากต้องการคุณสมบัติที่ทันสมัยที่สุด

Windows Server 2022

  • เป็นเวอร์ชันล่าสุด ณ ปัจจุบัน (2024) เน้นการปรับปรุงด้านความปลอดภัยขั้นสูง Hybrid capabilities และแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันที่ยืดหยุ่น มีคุณสมบัติใหม่ๆ เช่น Secured-core server, Azure Arc และ Hotpatching
  • ข้อควรพิจารณา Windows Server 2022 เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในปัจจุบันสำหรับระบบใหม่ เนื่องจากได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จาก Microsoft และมีคุณสมบัติที่ทันสมัยที่สุด

Windows Server 2025 (ยังไม่ออกอย่างเป็นทางการ)

  • เป็นเวอร์ชันถัดไปของ Windows Server คาดว่าจะมีการปรับปรุงในด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และการจัดการข้อมูลประจำตัวที่ทันสมัย
  • ข้อควรพิจารณา หากมีกำหนดการใช้งานระบบในอนาคตอันใกล้ ควรติดตามข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับ Windows Server 2025 เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้งาน

แต่ละเวอร์ชันมีคุณสมบัติใหม่ๆ และการปรับปรุงประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน ควรเลือกเวอร์ชันที่เหมาะสมกับการใช้งานและความต้องการ

การเลือกใช้ Windows Server

การเลือกใช้ Windows Server ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  1. ขนาดขององค์กรและจำนวนผู้ใช้ (Organization Size and Number of Users)
  • Windows Server Essentials เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีผู้ใช้ไม่มาก (โดยทั่วไปไม่เกิน 25 ผู้ใช้) มีฟังก์ชันพื้นฐานสำหรับการแชร์ไฟล์ พิมพ์ และการเข้าถึงข้อมูลจากระยะไกล ใช้งานง่ายและราคาประหยัด เหมาะสำหรับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นหรือมีงบประมาณจำกัด
  • Windows Server Standard เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ที่ต้องการคุณสมบัติที่ครบครันมากขึ้น รองรับการใช้งานที่หลากหลาย เช่น การทำ Virtualization (แต่มีข้อจำกัดเรื่องจำนวน Virtual Machines) การจัดการ Active Directory และการให้บริการ Web Server เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการความยืดหยุ่นในการใช้งาน
  • Windows Server Datacenter เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการคุณสมบัติขั้นสูง เช่น การทำ Virtualization แบบไม่จำกัดจำนวน Virtual Machines การทำ Software-Defined Datacenter และคุณสมบัติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Cloud Computing เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการความเสถียร ประสิทธิภาพ และความสามารถในการปรับขนาดสูงสุด

ตัวอย่าง

  • ร้านค้าปลีกขนาดเล็กที่มีพนักงาน 10 คน อาจเลือกใช้ Windows Server Essentials
  • บริษัทที่มีพนักงาน 100 คนและต้องการทำ Virtualization อาจเลือกใช้ Windows Server Standard
  • องค์กรขนาดใหญ่ที่มี Datacenter และต้องการทำ Cloud Computing อาจเลือกใช้ Windows Server Datacenter
  1. ความต้องการด้านคุณสมบัติ (Feature Requirements)
  • Virtualization หากต้องการทำ Virtualization เพื่อรวมเซิร์ฟเวอร์หรือเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน ควรพิจารณา Windows Server Standard หรือ Datacenter ซึ่งมี Hyper-V เป็นเครื่องมือสำหรับการทำ Virtualization
  • Database Server หากต้องการใช้ Windows Server เป็น Database Server ควรพิจารณาเวอร์ชันที่รองรับการใช้งานร่วมกับระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) เช่น Microsoft SQL Server
  • Web Server หากต้องการใช้ Windows Server เป็น Web Server ควรพิจารณาเวอร์ชันที่มี IIS (Internet Information Services) ซึ่งเป็น Web Server ของ Microsoft
  • Active Directory หากต้องการจัดการผู้ใช้ โดเมน และนโยบายความปลอดภัยในเครือข่าย ควรพิจารณา Windows Server Standard หรือ Datacenter ซึ่งมี Active Directory เป็นเครื่องมือสำหรับการจัดการ
  • Remote Desktop Services (RDS) หากต้องการให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเดสก์ท็อปและแอปพลิเคชันจากระยะไกล ควรพิจารณาเวอร์ชันที่รองรับ RDS

ตัวอย่าง

  • หากต้องการทำ Virtualization และใช้ Active Directory อาจเลือก Windows Server Standard
  • หากต้องการใช้เป็น Database Server สำหรับ SQL Server อาจเลือก Windows Server Standard หรือ Datacenter ขึ้นอยู่กับขนาดและความต้องการของฐานข้อมูล
  1. งบประมาณ (Budget)
  • ค่าลิขสิทธิ์ Windows Server แต่ละรุ่นมีราคาลิขสิทธิ์ที่แตกต่างกัน Essentials จะมีราคาถูกที่สุด รองลงมาคือ Standard และ Datacenter มีราคาสูงที่สุด
  • ค่า CALs (Client Access Licenses) นอกเหนือจากค่าลิขสิทธิ์ของตัวเซิร์ฟเวอร์แล้ว ยังต้องพิจารณาค่า CALs ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์สำหรับการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ของผู้ใช้หรืออุปกรณ์ต่างๆ จำนวน CALs ที่ต้องใช้จะขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ใช้หรืออุปกรณ์ที่เข้าถึงเซิร์ฟเวอร์
  • ค่าฮาร์ดแวร์ Windows Server ต้องการทรัพยากรฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสม ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

ควรเปรียบเทียบราคาของแต่ละรุ่นและเวอร์ชัน รวมถึงค่า CALs และค่าฮาร์ดแวร์ เพื่อให้ได้โซลูชันที่คุ้มค่ากับงบประมาณ

  1. ความต้องการด้านฮาร์ดแวร์ (Hardware Requirements)
  • CPU ควรเลือก CPU ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการใช้งาน Windows Server และแอปพลิเคชันต่างๆ
  • RAM ควรมี RAM เพียงพอต่อการใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการทำ Virtualization หรือใช้งานแอปพลิเคชันที่ต้องการหน่วยความจำสูง
  • พื้นที่จัดเก็บข้อมูล ควรมีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลเพียงพอต่อการจัดเก็บข้อมูลและไฟล์ต่างๆ รวมถึงเผื่อพื้นที่สำหรับการขยายตัวในอนาคต
  • เครือข่าย ควรมีระบบเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการรับส่งข้อมูลระหว่างเซิร์ฟเวอร์และผู้ใช้

โดยสรุปแล้ว Windows Server เป็นระบบปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพและมีคุณสมบัติหลากหลาย เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการระบบที่เสถียร ปลอดภัย และจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบเพื่อให้ได้ระบบที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด

อ่านบทความเกี่ยวกับ Server คืออะไร ?

ที่มา : Windows Server

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *