Wi-Fi 6 (802.11ax) คือมาตรฐาน Wi-Fi รุ่นล่าสุดที่พัฒนาต่อยอดจาก Wi-Fi 5 (802.11ac) ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความเร็ว และความเสถียรของเครือข่ายไร้สาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีอุปกรณ์ Wi-Fi จำนวนมาก
Wi-Fi คืออะไร?
Wi-Fi หรือ Wireless Fidelity คือเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายที่ช่วยให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและสื่อสารกันเองได้โดยไม่ต้องใช้สายเคเบิล Wi-Fi ทำงานโดยการส่งข้อมูลผ่านคลื่นวิทยุในย่านความถี่ 2.4 GHz และ 5 GHz คล้ายกับวิทยุ โทรทัศน์ และโทรศัพท์มือถือ แต่ Wi-Fi ถูกออกแบบมาเพื่อการรับส่งข้อมูลในระยะใกล้ เช่น ภายในบ้าน สำนักงาน หรือพื้นที่สาธารณะ
Wi-Fi ทำงานอย่างไร?
- อุปกรณ์ส่งสัญญาณ (Router หรือ Access Point): ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการกระจายสัญญาณ Wi-Fi รับข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตผ่านสายเคเบิล และแปลงเป็นสัญญาณวิทยุ ส่งต่อไปยังอุปกรณ์ต่างๆ
- อุปกรณ์รับสัญญาณ (เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน): มีตัวรับสัญญาณ Wi-Fi ที่สามารถรับสัญญาณวิทยุจาก Router และแปลงกลับเป็นข้อมูล เพื่อนำไปใช้งาน
- คลื่นวิทยุ: เป็นตัวกลางในการรับส่งข้อมูลระหว่าง Router และอุปกรณ์ต่างๆ โดย Wi-Fi ใช้คลื่นวิทยุในย่านความถี่ 2.4 GHz และ 5 GHz ซึ่งเป็นย่านความถี่ที่ไม่ต้องขอใบอนุญาต และสามารถใช้งานได้ทั่วไป
ประโยชน์ของ Wi-Fi
- ความสะดวกสบาย: Wi-Fi ช่วยให้เราสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลา โดยไม่ต้องเดินสายเคเบิล ให้ความคล่องตัวในการใช้งาน และเพิ่มความสะดวกสบายในการเชื่อมต่อ
- ความยืดหยุ่น: Wi-Fi สามารถใช้งานได้กับอุปกรณ์หลากหลายประเภท เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เครื่องพิมพ์ กล้องวงจรปิด อุปกรณ์ IoT ฯลฯ ทำให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน และสร้างเครือข่ายภายในบ้าน หรือสำนักงานได้อย่างง่ายดาย
- ประหยัดค่าใช้จ่าย: Wi-Fi ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินสายเคเบิล และค่าบำรุงรักษา ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
- การแบ่งปันทรัพยากร: Wi-Fi ช่วยให้เราสามารถแบ่งปันทรัพยากรต่างๆ เช่น เครื่องพิมพ์ ไฟล์ และอินเทอร์เน็ต ให้กับอุปกรณ์อื่นๆ ในเครือข่ายได้อย่างง่ายดาย
มาตรฐาน Wi-Fi
Wi-Fi มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการกำหนดมาตรฐาน โดย IEEE (Institute of Electrical and Electronics Engineers) เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ Wi-Fi จากผู้ผลิตต่างๆ สามารถทำงานร่วมกันได้ มาตรฐาน Wi-Fi ที่สำคัญ มีดังนี้
- 802.11b: มาตรฐานแรกๆ ของ Wi-Fi มีความเร็วสูงสุด 11 Mbps
- 802.11a: ทำงานในย่านความถี่ 5 GHz มีความเร็วสูงสุด 54 Mbps
- 802.11g: ทำงานในย่านความถี่ 2.4 GHz มีความเร็วสูงสุด 54 Mbps
- 802.11n: รองรับเทคโนโลยี MIMO (Multiple-Input Multiple-Output) มีความเร็วสูงสุด 600 Mbps
- 802.11ac: หรือ Wi-Fi 5 ทำงานในย่านความถี่ 5 GHz มีความเร็วสูงสุด 3.5 Gbps
- 802.11ax: หรือ Wi-Fi 6 ทำงานในย่านความถี่ 2.4 GHz และ 5 GHz มีความเร็วสูงสุด 9.6 Gbps
เทคโนโลยี Wi-Fi ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานที่เพิ่มขึ้น เช่น Wi-Fi 6E ที่ทำงานในย่านความถี่ 6 GHz Wi-Fi 7 (802.11be) ที่คาดว่าจะมีความเร็วสูงสุด 40 Gbps และเทคโนโลยี Li-Fi ที่ใช้แสงในการรับส่งข้อมูล ซึ่งคาดว่าจะเร็วกว่า Wi-Fi ถึง 100 เท่า
Wi-Fi ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวัน และมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อผู้คน และอุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน การพัฒนาเทคโนโลยี Wi-Fi อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูล และบริการต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และสะดวกสบายยิ่งขึ้น ในอนาคต
Wi-Fi 6 คืออะไร?
Wi-Fi 6 หรือที่รู้จักกันในชื่อทางเทคนิคว่า 802.11ax คือมาตรฐาน Wi-Fi รุ่นล่าสุดที่พัฒนาต่อยอดจาก Wi-Fi 5 (802.11ac) โดย Wi-Fi 6 ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเพิ่มความเร็วในการเชื่อมต่อ แต่ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความเสถียร และความจุของเครือข่าย เพื่อรองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การใช้งานกับอุปกรณ์จำนวนมาก และการรับส่งข้อมูลปริมาณมหาศาล เช่น การสตรีมมิ่งวิดีโอความละเอียดสูง การเล่นเกมออนไลน์ และการประชุมทางไกล
Wi-Fi 6 แตกต่างจาก Wi-Fi 5 อย่างไร?
Wi-Fi 6 ได้รับการออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหา และข้อจำกัดของ Wi-Fi 5 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีอุปกรณ์ Wi-Fi จำนวนมาก เช่น ในบ้าน สำนักงาน หรือสถานที่สาธารณะ โดย Wi-Fi 6 มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ดังนี้
- OFDMA (Orthogonal Frequency-Division Multiple Access): เทคโนโลยีที่ช่วยให้ Router สามารถแบ่งช่องสัญญาณ และส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์หลายๆ เครื่องพร้อมกันได้ อย่างมีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือนการแบ่งรถบัสคันใหญ่ ออกเป็นรถตู้หลายๆ คัน เพื่อขนส่งผู้โดยสารไปยังจุดหมายปลายทาง ได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
- MU-MIMO (Multi-User Multiple-Input Multiple-Output): เทคโนโลยีที่ช่วยให้ Router สามารถรับส่งข้อมูลกับอุปกรณ์หลายๆ เครื่องพร้อมกันได้ ทั้งขาขึ้น (Uplink) และขาลง (Downlink) ต่างจาก Wi-Fi 5 ที่รองรับเฉพาะขาลงเท่านั้น ทำให้ Wi-Fi 6 มีประสิทธิภาพ และความเร็วในการเชื่อมต่อที่ดีขึ้น
- 1024-QAM (Quadrature Amplitude Modulation): เทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูล ที่ช่วยเพิ่มความจุในการรับส่งข้อมูล ทำให้ Wi-Fi 6 สามารถส่งข้อมูลได้มากขึ้น ในเวลาเท่าเดิม
- Target Wake Time (TWT): เทคโนโลยีที่ช่วยให้ Router สามารถกำหนดเวลา ในการรับส่งข้อมูลกับอุปกรณ์ต่างๆ ได้ ช่วยลดการใช้พลังงานของอุปกรณ์ และยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่
ประโยชน์ของ Wi-Fi 6
- ความเร็วที่เหนือกว่า: Wi-Fi 6 มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดที่ 9.6 Gbps ซึ่งเร็วกว่า Wi-Fi 5 ถึง 4 เท่า ทำให้การดาวน์โหลด/อัปโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ การสตรีมมิ่งวิดีโอความละเอียดสูง และการเล่นเกมออนไลน์ เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีสะดุด
- ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น: Wi-Fi 6 สามารถรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมากได้พร้อมกัน โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับบ้าน หรือสำนักงาน ที่มีอุปกรณ์ Wi-Fi จำนวนมาก
- ความเสถียรที่มากขึ้น: Wi-Fi 6 ช่วยลดปัญหาสัญญาณรบกวน และเพิ่มความเสถียรในการเชื่อมต่อ แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีอุปกรณ์ Wi-Fi หนาแน่น
- ประหยัดพลังงาน: Wi-Fi 6 ช่วยลดการใช้พลังงานของอุปกรณ์ และยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่
Wi-Fi 6 เหมาะกับใคร?
Wi-Fi 6 เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทุกคนที่ต้องการประสบการณ์การใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สายที่ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
- ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง: Wi-Fi 6 รองรับความเร็วอินเทอร์เน็ตระดับ Gigabit ทำให้สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
- บ้าน หรือสำนักงาน ที่มีอุปกรณ์ Wi-Fi จำนวนมาก: Wi-Fi 6 สามารถรองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมากได้พร้อมกัน โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพ
- ผู้ที่ชื่นชอบการสตรีมมิ่งวิดีโอความละเอียดสูง และการเล่นเกมออนไลน์: Wi-Fi 6 มอบประสบการณ์การรับชม และการเล่นเกมที่ราบรื่น ไม่มีสะดุด
- ผู้ที่ต้องการใช้งาน IoT (Internet of Things): Wi-Fi 6 รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT จำนวนมาก เช่น หลอดไฟอัจฉริยะ กล้องวงจรปิด ฯลฯ
Wi-Fi 6 คือมาตรฐาน Wi-Fi รุ่นใหม่ ที่พร้อมมอบประสบการณ์การใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สายที่ดีที่สุด ด้วยความเร็ว ประสิทธิภาพ และความเสถียรที่เหนือกว่า หากคุณกำลังมองหา Router ตัวใหม่ Wi-Fi 6 คือตัวเลือกที่คุ้มค่า และตอบโจทย์การใช้งานในยุคดิจิทัล
ความเร็วของ Wi-Fi 6
ความเร็วของ Wi-Fi 6 นั้นเป็นหนึ่งในจุดเด่นที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ มาดูกันว่า Wi-Fi 6 เร็วแค่ไหน และปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลต่อความเร็ว
ความเร็วสูงสุดตามทฤษฎี
Wi-Fi 6 มีความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดตามทฤษฎีที่ 9.6 Gbps (gigabits per second) ซึ่งเร็วกว่า Wi-Fi 5 (802.11ac) ถึงเกือบ 3 เท่าตัว (Wi-Fi 5 มีความเร็วสูงสุด 3.5 Gbps)
ความเร็วในโลกแห่งความเป็นจริง
อย่างไรก็ตาม ความเร็ว 9.6 Gbps นั้นเป็นความเร็วสูงสุดตามทฤษฎี ในการใช้งานจริง ความเร็วที่เราได้รับอาจจะต่ำกว่านั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น:
- ระยะห่างจาก Router: ยิ่งอยู่ใกล้ Router มากเท่าไหร่ สัญญาณก็จะยิ่งแรง และความเร็วก็จะยิ่งสูงขึ้น
- สภาพแวดล้อม: สิ่งกีดขวางต่างๆ เช่น กำแพง เฟอร์นิเจอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ อาจรบกวนสัญญาณ Wi-Fi และทำให้ความเร็วลดลง
- จำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ: ยิ่งมีอุปกรณ์เชื่อมต่อกับ Wi-Fi จำนวนมากเท่าไหร่ ความเร็วในการเชื่อมต่อของแต่ละอุปกรณ์ก็จะยิ่งลดลง
- ความเร็วอินเทอร์เน็ต: ความเร็วของ Wi-Fi จะถูกจำกัดด้วยความเร็วอินเทอร์เน็ตที่เราสมัครไว้ ถ้าหากความเร็วอินเทอร์เน็ตต่ำกว่าความเร็ว Wi-Fi เราก็จะไม่สามารถใช้งาน Wi-Fi ได้เต็มประสิทธิภาพ
- ประสิทธิภาพของอุปกรณ์: อุปกรณ์ Wi-Fi รุ่นเก่าๆ อาจไม่รองรับความเร็วสูงสุดของ Wi-Fi 6 ทำให้ความเร็วในการเชื่อมต่อลดลง
เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความเร็วใน Wi-Fi 6
Wi-Fi 6 มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ มากมายที่ช่วยเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อแบบก้าวกระโดด เทคโนโลยีสำคัญๆ ที่ทำให้ Wi-Fi 6 เร็วแรงกว่า Wi-Fi รุ่นก่อนหน้า มีดังนี้:
1. 1024-QAM (Quadrature Amplitude Modulation)
- เข้ารหัสข้อมูลได้มากขึ้น: เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ Wi-Fi 6 สามารถบรรจุข้อมูลในสัญญาณได้มากขึ้นถึง 25% เมื่อเทียบกับ 256-QAM ที่ใช้ใน Wi-Fi 5 เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนกับการขนส่งสินค้า โดย Wi-Fi 6 สามารถบรรทุกสินค้าได้มากขึ้นในรถบรรทุกแต่ละคัน ทำให้การขนส่งรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น: ด้วยความสามารถในการเข้ารหัสข้อมูลที่เพิ่มขึ้น Wi-Fi 6 จึงสามารถส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น แม้จะใช้แบนด์วิดท์เท่าเดิม
2. OFDMA (Orthogonal Frequency-Division Multiple Access)
- แบ่งช่องสัญญาณอย่างชาญฉลาด: OFDMA เปรียบเสมือนการแบ่งช่องทางเดินรถ โดย Wi-Fi 6 สามารถแบ่งช่องสัญญาณ Wi-Fi ออกเป็นช่องย่อยๆ และส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์หลายๆ เครื่องพร้อมกันได้ แทนที่จะต้องส่งข้อมูลทีละอุปกรณ์เหมือน Wi-Fi 5
- ลดความล่าช้า: การแบ่งช่องสัญญาณแบบนี้ ช่วยลดความล่าช้าในการรับส่งข้อมูล ทำให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตราบรื่น ไม่มีสะดุด เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความเร็วสูง เช่น การเล่นเกมออนไลน์ หรือการประชุมทางไกล
3. MU-MIMO (Multi-User Multiple-Input Multiple-Output)
- รับ-ส่งข้อมูลหลายอุปกรณ์พร้อมกัน: MU-MIMO ช่วยให้ Router สามารถรับส่งข้อมูลกับอุปกรณ์หลายๆ เครื่องพร้อมกันได้ทั้งขาขึ้น (อุปกรณ์ส่งข้อมูลไปยัง Router) และขาลง (Router ส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์) ต่างจาก Wi-Fi 5 ที่รองรับ MU-MIMO เฉพาะขาลงเท่านั้น
- เพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย: เทคโนโลยีนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่าย โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีอุปกรณ์ Wi-Fi จำนวนมาก ทำให้ทุกอุปกรณ์ได้รับสัญญาณที่ดี และมีความเร็วในการเชื่อมต่อที่รวดเร็ว
นอกจาก 3 เทคโนโลยีหลักๆ ข้างต้นแล้ว Wi-Fi 6 ยังมีเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มความเร็ว เช่น
- ช่องสัญญาณ 160 MHz: Wi-Fi 6 รองรับช่องสัญญาณที่กว้างขึ้น ทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้เร็วขึ้น
- Beamforming: เทคโนโลยีที่ช่วยให้ Router สามารถโฟกัสสัญญาณ Wi-Fi ไปยังอุปกรณ์แต่ละเครื่องได้โดยตรง ช่วยเพิ่มความแรงของสัญญาณ และความเร็วในการเชื่อมต่อ
ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเหล่านี้ Wi-Fi 6 จึงมอบประสบการณ์การใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สายที่รวดเร็ว เสถียร และมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคย
ถึงแม้ว่าในความเป็นจริง เราอาจจะไม่ได้สัมผัสความเร็วสูงสุด 9.6 Gbps ของ Wi-Fi 6 แต่เทคโนโลยีต่างๆ ที่อยู่ใน Wi-Fi 6 ก็ช่วยให้เราได้สัมผัสกับประสบการณ์การใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สายที่เร็วขึ้น เสถียรขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม อย่างแน่นอน
ความปลอดภัยของ Wi-Fi 6
ความปลอดภัยของ Wi-Fi 6 ได้รับการยกระดับขึ้นอย่างมากจาก Wi-Fi รุ่นก่อนหน้า ด้วยการนำมาตรฐานความปลอดภัยแบบใหม่ WPA3 มาใช้ ซึ่งช่วยป้องกันการโจมตี และรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น
WPA3 คืออะไร?
WPA3 (Wi-Fi Protected Access 3) คือมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับเครือข่าย Wi-Fi รุ่นล่าสุด ที่พัฒนาต่อยอดจาก WPA2 โดย WPA3 มีการปรับปรุง และเพิ่มคุณสมบัติใหม่ๆ เพื่อป้องกันการโจมตี และรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลได้ดียิ่งขึ้น
WPA3 ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้ Wi-Fi 6 อย่างไร?
- ป้องกันการแฮ็กรหัสผ่าน: WPA3 ใช้เทคโนโลยี SAE (Simultaneous Authentication of Equals) ที่ช่วยป้องกันการโจมตีแบบ Dictionary Attack ซึ่งเป็นการเดารหัสผ่านโดยการลองใส่รหัสผ่านต่างๆ จากใน Dictionary ทำให้แฮ็กเกอร์ยากที่จะขโมยรหัสผ่าน Wi-Fi ของคุณ แม้ว่ารหัสผ่านของคุณจะไม่แข็งแรงก็ตาม
- ปกป้องข้อมูลส่วนตัว: WPA3 มีคุณสมบัติ OWE (Opportunistic Wireless Encryption) ที่ช่วยเข้ารหัสข้อมูล แม้ในเครือข่าย Wi-Fi แบบเปิด (Open Network) เช่น Wi-Fi ตามร้านกาแฟ หรือโรงแรม ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลของคุณจะถูกป้องกัน แม้ในขณะที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายสาธารณะ
- เพิ่มความปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์ IoT: WPA3 มีคุณสมบัติ DPP (Device Provisioning Protocol) ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT เช่น หลอดไฟอัจฉริยะ กล้องวงจรปิด ฯลฯ ซึ่งมักจะมีข้อจำกัดในการตั้งค่าความปลอดภัย
นอกจาก WPA3 แล้ว Wi-Fi 6 ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย เช่น
- การเข้ารหัสแบบ AES: Wi-Fi 6 ใช้การเข้ารหัสแบบ AES (Advanced Encryption Standard) ซึ่งเป็นมาตรฐานการเข้ารหัสที่แข็งแกร่ง และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
- การแยกเครือข่าย: เราเตอร์ Wi-Fi 6 บางรุ่น สามารถสร้างเครือข่ายแยก (Guest Network) สำหรับผู้เยี่ยมชม เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เยี่ยมชมเข้าถึงข้อมูลในเครือข่ายหลักของคุณ
Wi-Fi 6 มาพร้อมกับมาตรฐานความปลอดภัย WPA3 และคุณสมบัติอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเชื่อมต่อ ป้องกันการแฮ็กข้อมูล และรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานได้ดียิ่งขึ้น ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตไร้สายของคุณจะปลอดภัย
Wi-Fi 6E คืออะไร?
Wi-Fi 6E คือวิวัฒนาการขั้นต่อไปของ Wi-Fi 6 ที่มาพร้อมกับความสามารถในการทำงานบนย่านความถี่ 6 GHz เพิ่มเติมจากเดิมที่ Wi-Fi 6 ทำงานอยู่บนย่านความถี่ 2.4 GHz และ 5 GHz เท่านั้น การเพิ่มย่านความถี่ใหม่นี้เปรียบเสมือนการขยายถนนให้มีช่องทางเดินรถมากขึ้น ทำให้ Wi-Fi 6E มีข้อดีเหนือ Wi-Fi 6 ดังนี้
1. เพิ่มช่องสัญญาณ ลดความแออัด
ย่านความถี่ 6 GHz มีช่องสัญญาณที่กว้างกว่าและจำนวนช่องสัญญาณมากกว่าย่านความถี่ 2.4 GHz และ 5 GHz ทำให้ Wi-Fi 6E มีช่องสัญญาณให้ใช้งานมากขึ้น ลดปัญหาความแออัดของสัญญาณ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบเจอได้บ่อยในพื้นที่ที่มีอุปกรณ์ Wi-Fi หนาแน่น เช่น อาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม หรือห้างสรรพสินค้า
2. ความเร็วและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า
ด้วยช่องสัญญาณที่กว้างขึ้น Wi-Fi 6E สามารถรองรับการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วที่สูงขึ้น และมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานที่ต้องการแบนด์วิดท์สูง เช่น การสตรีมมิ่งวิดีโอ 8K การเล่นเกม VR/AR หรือการดาวน์โหลด/อัพโหลดไฟล์ขนาดใหญ่
3. ลดความหน่วง
Wi-Fi 6E ช่วยลดความหน่วงในการรับส่งข้อมูล ทำให้การตอบสนองของเครือข่ายรวดเร็วขึ้น เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความหน่วงต่ำ เช่น การเล่นเกมออนไลน์ การประชุมทางไกล หรือการควบคุมอุปกรณ์ IoT แบบเรียลไทม์
4. รองรับเทคโนโลยี Wi-Fi 6 เต็มรูปแบบ
Wi-Fi 6E ยังคงรองรับเทคโนโลยีต่างๆ ของ Wi-Fi 6 เช่น OFDMA, MU-MIMO และ 1024-QAM ทำให้ Wi-Fi 6E มีประสิทธิภาพ ความเร็ว และความเสถียรที่เหนือกว่า Wi-Fi รุ่นก่อนหน้า
Wi-Fi 6E คือมาตรฐาน Wi-Fi ล่าสุดที่มอบประสบการณ์การเชื่อมต่อไร้สายที่ดีที่สุดในขณะนี้ ด้วยความเร็ว ประสิทธิภาพ และความเสถียรที่เหนือกว่า Wi-Fi 6E เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดจากเครือข่ายไร้สาย และพร้อมสำหรับอนาคตของเทคโนโลยี
อยากใช้งาน Wi-Fi 6 ต้องมีอะไรบ้าง ?
- เราเตอร์ Wi-Fi 6: เลือกเราเตอร์ที่รองรับมาตรฐาน Wi-Fi 6 เพื่อประสิทธิภาพการเชื่อมต่อสูงสุด เลือกซื้อได้ที่นี่ ดูสินค้าทั้งหมด
ตารางเปรียบเทียบความเร็ว Wi-Fi แต่ละ Generation
Generation | มาตรฐาน IEEE | ปีที่เริ่มใช้งาน | ความถี่ (GHz) | ความเร็วสูงสุดตามทฤษฎี (Gbps) | เทคโนโลยีเด่น |
Wi-Fi 1 | 802.11b | 1999 | 2.4 | 0.011 | |
802.11a | 1999 | 5 | 0.054 | ||
Wi-Fi 2 | 802.11g | 2003 | 2.4 | 0.054 | |
Wi-Fi 3 | 802.11n | 2009 | 2.4 / 5 | 0.6 | MIMO |
Wi-Fi 4 | 802.11ac | 2013 | 5 | 3.5 | MU-MIMO (Downlink) |
Wi-Fi 5 | 802.11ac Wave 2 | 2016 | 5 | 6.9 | MU-MIMO (Downlink/Uplink) |
Wi-Fi 6 | 802.11ax | 2019 | 2.4 / 5 | 9.6 | OFDMA, MU-MIMO (Downlink/Uplink), 1024-QAM |
Wi-Fi 6E | 802.11ax | 2020 | 2.4 / 5 / 6 | 9.6 | OFDMA, MU-MIMO (Downlink/Uplink), 1024-QAM, ช่องสัญญาณ 6 GHz |
Wi-Fi 7 | 802.11be | 2024 | 2.4 / 5 / 6 | 40 | MLO, 4096-QAM, ช่องสัญญาณ 320 MHz |
หมายเหตุ:
- ความเร็วสูงสุดตามทฤษฎี คือความเร็วสูงสุดที่ Wi-Fi สามารถทำได้ในสภาวะที่เหมาะสม ความเร็วในการใช้งานจริงอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ระยะห่างจาก Router สภาพแวดล้อม จำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ และความเร็วอินเทอร์เน็ต
- MIMO (Multiple-Input Multiple-Output) คือเทคโนโลยีที่ใช้เสาอากาศหลายต้น ในการรับส่งข้อมูล ช่วยเพิ่มความเร็ว และความครอบคลุมของสัญญาณ
- MU-MIMO (Multi-User Multiple-Input Multiple-Output) คือเทคโนโลยีที่ช่วยให้ Router สามารถรับส่งข้อมูลกับอุปกรณ์หลายๆ เครื่องพร้อมกันได้
- OFDMA (Orthogonal Frequency-Division Multiple Access) คือเทคโนโลยีที่ช่วยให้ Router สามารถแบ่งช่องสัญญาณ และส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์หลายๆ เครื่องพร้อมกันได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
- QAM (Quadrature Amplitude Modulation) คือเทคโนโลยีการเข้ารหัสข้อมูล ที่ช่วยเพิ่มความจุในการรับส่งข้อมูล
- MLO (Multi-Link Operation) คือเทคโนโลยีที่ช่วยให้อุปกรณ์สามารถเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ได้พร้อมกันหลายย่านความถี่ ช่วยเพิ่มความเร็ว และความเสถียรในการเชื่อมต่อ
Wi-Fi มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ในอนาคต เราอาจจะได้เห็น Wi-Fi ที่มีความเร็วสูงขึ้น เสถียรขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม