ในโลกของคอมพิวเตอร์ Server (เซิร์ฟเวอร์) คือ คอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ ที่มีหน้าที่ให้บริการ (serve) ทรัพยากร หรือข้อมูลต่างๆ แก่คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ที่เรียกว่า Client (ไคลเอนต์) ผ่านเครือข่าย โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ทำงานบนคอมพิวเตอร์ เพื่อให้บริการต่างๆ แก่ไคลเอนต์ ลองนึกภาพร้านอาหาร Server ก็เหมือน พนักงานเสิร์ฟ ที่คอยรับออเดอร์ (คำขอ) จากลูกค้า (Client) และนำอาหาร (ข้อมูล หรือบริการ) มาเสิร์ฟ Client ก็เปรียบเสมือน ลูกค้า ที่เข้ามารับบริการในร้านอาหาร
Server คืออะไร?
Server (เซิร์ฟเวอร์) คือ คอมพิวเตอร์ หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่มีหน้าที่ให้บริการ (serve) สิ่งต่างๆ แก่คอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ หรือที่เรียกว่า Client (ไคลเอนต์) ผ่านเครือข่าย ซึ่งการให้บริการนั้นก็มีหลากหลายรูปแบบ เช่น การให้บริการเว็บไซต์ การจัดเก็บข้อมูล การส่งอีเมล เป็นต้น
ระบบเซิร์ฟเวอร์ หมายถึง ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์ ซอฟต์แวร์ และส่วนประกอบอื่นๆ ที่ทำงานร่วมกันเพื่อให้บริการแก่ไคลเอนต์ ตัวอย่างเช่น ระบบเซิร์ฟเวอร์สำหรับเว็บไซต์ จะประกอบด้วย เว็บเซิร์ฟเวอร์ (เช่น Apache หรือ Nginx) ระบบปฏิบัติการ (เช่น Linux หรือ Windows) ฐานข้อมูล (เช่น MySQL หรือ PostgreSQL) และฮาร์ดแวร์ต่างๆ เช่น CPU, RAM, ฮาร์ดดิสก์
เซิร์ฟเวอร์ทำหน้าที่อะไร?
หน้าที่หลักๆ ของเซิร์ฟเวอร์ คือ การประมวลผลและตอบสนองคำขอจากไคลเอนต์ ยกตัวอย่างเช่น
- เมื่อคุณเปิดเว็บไซต์ในเบราว์เซอร์ คอมพิวเตอร์ของคุณ (ไคลเอนต์) จะส่งคำขอไปยังเว็บเซิร์ฟเวอร์ เว็บเซิร์ฟเวอร์จะประมวลผลคำขอ และส่งข้อมูลเว็บไซต์กลับมาให้คอมพิวเตอร์ของคุณแสดงผล
- เมื่อคุณส่งอีเมล อีเมลเซิร์ฟเวอร์ จะรับผิดชอบในการส่งอีเมลของคุณไปยังผู้รับ
ประเภทของเซิร์ฟเวอร์
เซิร์ฟเวอร์มีหลายประเภท แบ่งตามหน้าที่การทำงาน ตัวอย่างเช่น
- เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server): ให้บริการเว็บไซต์ เช่น Apache, Nginx, IIS
- ฐานข้อมูลเซิร์ฟเวอร์ (Database Server): จัดเก็บและจัดการฐานข้อมูล เช่น MySQL, PostgreSQL, Microsoft SQL Server
- ไฟล์เซิร์ฟเวอร์ (File Server): จัดเก็บและแบ่งปันไฟล์ เช่น Samba, NFS
- เมลเซิร์ฟเวอร์ (Mail Server): รับส่งอีเมล เช่น Sendmail, Postfix
- แอปพลิเคชันเซิร์ฟเวอร์ (Application Server): รันแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น Tomcat, JBoss
- เกมเซิร์ฟเวอร์ (Game Server): ให้บริการเกมออนไลน์
นอกจากนี้ ยังสามารถแบ่งประเภทของเซิร์ฟเวอร์ตามลักษณะทางกายภาพได้ เช่น
- Tower Server: มีลักษณะเหมือนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทั่วไป
- Rack Server: ออกแบบมาเพื่อติดตั้งในตู้ Rack ใช้พื้นที่น้อยกว่า
- Blade Server: เป็นเซิร์ฟเวอร์ขนาดเล็กที่ติดตั้งรวมกันในตู้ Blade Enclosure
ส่วนประกอบของ Server เซิร์ฟเวอร์
ส่วนประกอบของเซิร์ฟเวอร์นั้น สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ ฮาร์ดแวร์ (Hardware) และ ซอฟต์แวร์ (Software) ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ทำงานร่วมกันเพื่อให้เซิร์ฟเวอร์สามารถให้บริการต่างๆ ได้
1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware)
ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คือ ส่วนประกอบที่เป็น physical จับต้องได้ คล้ายกับส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์ทั่วไป แต่จะมีประสิทธิภาพสูงกว่า เพื่อรองรับการทำงานที่หนักหน่วงและต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น
- CPU (Central Processing Unit): สมองของเซิร์ฟเวอร์ ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูล เซิร์ฟเวอร์มักใช้ CPU ที่มีจำนวน core และ clock speed สูง เพื่อประมวลผลข้อมูลได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- RAM (Random Access Memory): หน่วยความจำหลัก ใช้สำหรับเก็บข้อมูลที่ CPU กำลังใช้งาน เซิร์ฟเวอร์ต้องการ RAM จำนวนมาก เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้อง xử lý ข้อมูลจำนวนมากพร้อมๆ กัน
- Storage (หน่วยเก็บข้อมูล): ใช้สำหรับเก็บข้อมูลต่างๆ เช่น ระบบปฏิบัติการ แอปพลิเคชัน และข้อมูลของผู้ใช้ เซิร์ฟเวอร์มักใช้ hard disk drive (HDD) หรือ solid-state drive (SSD) ที่มีความจุสูง และมีความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูลเร็ว
- Network Interface Card (NIC): การ์ดเครือข่าย ทำหน้าที่เชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์เข้ากับเครือข่าย เพื่อรับส่งข้อมูลกับไคลเอนต์ เซิร์ฟเวอร์อาจมี NIC หลายตัว เพื่อเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูล และเพื่อสำรองข้อมูลในกรณีที่ NIC ตัวใดตัวหนึ่งเสีย
- Power Supply: จ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับส่วนประกอบต่างๆ ของเซิร์ฟเวอร์ เซิร์ฟเวอร์มักใช้ power supply ที่มีกำลังไฟสูง และมีระบบสำรองไฟ เพื่อป้องกันปัญหาไฟฟ้าดับ
2. ซอฟต์แวร์ (Software)
ซอฟต์แวร์ (Software) คือ ส่วนประกอบที่เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ และให้บริการต่างๆ แก่ไคลเอนต์ ตัวอย่างเช่น
- ระบบปฏิบัติการ (Operating System): เป็นซอฟต์แวร์พื้นฐาน ที่ควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ทั้งหมด และเป็นแพลตฟอร์มสำหรับรันแอปพลิเคชันต่างๆ เซิร์ฟเวอร์นิยมใช้ระบบปฏิบัติการ Linux เช่น CentOS, Ubuntu หรือ Windows Server
- แอปพลิเคชัน (Application): เป็นซอฟต์แวร์ที่ให้บริการเฉพาะทาง เช่น เว็บเซิร์ฟเวอร์ ฐานข้อมูลเซิร์ฟเวอร์ เมลเซิร์ฟเวอร์ เป็นต้น
นอกจากส่วนประกอบหลักๆ ข้างต้นแล้ว เซิร์ฟเวอร์ยังอาจมีส่วนประกอบอื่นๆ เช่น
- RAID Controller: ควบคุมการทำงานของ hard disk หลายๆ ตัว เพื่อเพิ่มความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูล และเพื่อสำรองข้อมูล
- Cooling System: ระบบระบายความร้อน เช่น พัดลม heatsink เพื่อป้องกันไม่ให้เซิร์ฟเวอร์ร้อนเกินไป
ระบบปฏิบัติการที่ใช้ในเครื่อง Server มีกี่ประเภท
ระบบปฏิบัติการที่ใช้ในเครื่องเซิร์ฟเวอร์ (Server Operating System) มีหลากหลายประเภท แต่ที่นิยมใช้กันมากที่สุด สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1. Linux
- เป็นระบบปฏิบัติการแบบ Open Source ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในวงการเซิร์ฟเวอร์ เนื่องจากมีความเสถียรสูง ปลอดภัย ยืดหยุ่น และมีค่าใช้จ่ายต่ำ (ส่วนใหญ่ฟรี)
- มี Distribution (distro) ให้เลือกใช้มากมาย เช่น Ubuntu, CentOS, Debian, Red Hat Enterprise Linux (RHEL), Fedora ซึ่งแต่ละ distro ก็จะมีจุดเด่นและข้อแตกต่างกันไป
- เหมาะสำหรับใช้งานหลากหลายรูปแบบ เช่น เว็บเซิร์ฟเวอร์, ฐานข้อมูลเซิร์ฟเวอร์, ไฟล์เซิร์ฟเวอร์, เมลเซิร์ฟเวอร์
2. Windows Server
- เป็นระบบปฏิบัติการจาก Microsoft ที่ได้รับความนิยมในองค์กรขนาดใหญ่ เนื่องจากใช้งานง่าย มีอินเทอร์เฟซที่คุ้นเคย และมีการสนับสนุนที่ดีจาก Microsoft
- มีฟีเจอร์ต่างๆ ที่เหมาะสำหรับองค์กร เช่น Active Directory, Group Policy, และ Windows Server Update Services (WSUS)
- มีหลาย Edition ให้เลือกใช้ เช่น Windows Server 2022 Essentials, Windows Server 2022 Standard, Windows Server 2022 Datacenter ซึ่งแต่ละ Edition ก็จะมีฟีเจอร์และราคาแตกต่างกันไป
- เหมาะสำหรับใช้งานหลากหลายรูปแบบ เช่น เว็บเซิร์ฟเวอร์, ฐานข้อมูลเซิร์ฟเวอร์, ไฟล์เซิร์ฟเวอร์, แอปพลิเคชันเซิร์ฟเวอร์
3. Unix
- เป็นระบบปฏิบัติการที่เก่าแก่ แต่ยังคงได้รับความนิยมในบางองค์กร เนื่องจากมีความเสถียรสูง และปลอดภัย
- มีหลายเวอร์ชัน เช่น Solaris, HP-UX, AIX
- มักใช้ในเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กร ที่ต้องการความเสถียรและความปลอดภัยสูง
ปัจจัยในการเลือกระบบปฏิบัติการเซิร์ฟเวอร์
การเลือกระบบปฏิบัติการเซิร์ฟเวอร์ ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น
- ความต้องการของแอปพลิเคชัน: แอปพลิเคชันบางตัว อาจทำงานได้ดีกว่าบนระบบปฏิบัติการบางประเภท
- งบประมาณ: Linux เป็นระบบปฏิบัติการแบบ Open Source จึงมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า Windows Server
- ความเชี่ยวชาญของบุคลากร: ควรเลือกระบบปฏิบัติการ ที่บุคลากรมีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้ง่ายต่อการดูแลระบบ
- ความต้องการด้านความปลอดภัย: ระบบปฏิบัติการแต่ละประเภท มีระดับความปลอดภัยแตกต่างกันไป
- ความต้องการด้านการสนับสนุน: Windows Server มีการสนับสนุนที่ดีจาก Microsoft ในขณะที่ Linux มีชุมชนผู้ใช้งานขนาดใหญ่ ที่คอยให้ความช่วยเหลือ
ตัวอย่างการใช้งานเซิร์ฟเวอร์ Server
การใช้งานเซิร์ฟเวอร์นั้นมีความหลากหลายมาก ขึ้นอยู่กับความต้องการและวัตถุประสงค์ในการใช้งาน โดยสามารถแบ่งประเภทการใช้งานเซิร์ฟเวอร์ ตามหน้าที่หลักๆ ได้ดังนี้
1. ให้บริการเว็บไซต์ (Web Server)
- หน้าที่: จัดเก็บและส่งมอบข้อมูลเว็บไซต์ เช่น ไฟล์ HTML, CSS, JavaScript, รูปภาพ ให้กับผู้ใช้งานที่เข้าถึงเว็บไซต์ผ่านเว็บเบราว์เซอร์
- ซอฟต์แวร์: Apache, Nginx, IIS
- ตัวอย่าง: เว็บไซต์ข่าวสาร, เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ, เว็บไซต์องค์กร
2. จัดการฐานข้อมูล (Database Server)
- หน้าที่: จัดเก็บ จัดการ และประมวลผลข้อมูล ในรูปแบบของฐานข้อมูล เพื่อให้แอปพลิเคชันต่างๆ สามารถเข้าถึงและใช้งานข้อมูลได้
- ซอฟต์แวร์: MySQL, PostgreSQL, Microsoft SQL Server, Oracle Database
- ตัวอย่าง: ระบบฐานข้อมูลลูกค้า, ระบบจัดการสินค้าคงคลัง
3. จัดเก็บและแบ่งปันไฟล์ (File Server)
- หน้าที่: จัดเก็บไฟล์ต่างๆ และอนุญาตให้ผู้ใช้งานในเครือข่ายสามารถเข้าถึง และแบ่งปันไฟล์เหล่านั้นได้
- ซอฟต์แวร์: Samba, NFS, Windows File Server
- ตัวอย่าง: การแชร์ไฟล์เอกสาร, การแชร์ไฟล์รูปภาพ, การสำรองข้อมูล
4. รับส่งอีเมล (Mail Server)
- หน้าที่: รับส่งอีเมลระหว่างผู้ใช้งาน ทั้งภายในและภายนอกองค์กร
- ซอฟต์แวร์: Sendmail, Postfix, Microsoft Exchange Server
- ตัวอย่าง: การส่งอีเมลภายในองค์กร, การรับส่งอีเมลกับลูกค้า
5. รันแอปพลิเคชัน (Application Server)
- หน้าที่: เป็นแพลตฟอร์มสำหรับรันแอปพลิเคชันต่างๆ เช่น แอปพลิเคชันบนเว็บ, แอปพลิเคชันมือถือ
- ซอฟต์แวร์: Tomcat, JBoss, WebSphere
- ตัวอย่าง: ระบบ ERP, ระบบ CRM
6. ให้บริการเกมออนไลน์ (Game Server)
- หน้าที่: ประมวลผลและจัดการข้อมูล สำหรับเกมออนไลน์ เพื่อให้ผู้เล่นสามารถเล่นเกมร่วมกันได้
- ตัวอย่าง: เกม MMORPG, เกม FPS
7. Virtualization Server
- หน้าที่: สร้างและจัดการเครื่องเสมือน (Virtual Machine) ซึ่งเป็นการจำลองเครื่องคอมพิวเตอร์ บนเซิร์ฟเวอร์จริง
- ซอฟต์แวร์: VMware vSphere, Microsoft Hyper-V, KVM
- ประโยชน์: ช่วยประหยัดทรัพยากร ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการระบบ
นอกจากนี้ เซิร์ฟเวอร์ยังสามารถใช้งานในรูปแบบอื่นๆ อีกมากมาย เช่น
- Streaming Server: สตรีมมิ่งวิดีโอ หรือเสียง เช่น Netflix, Spotify
- Proxy Server: เป็นตัวกลาง ในการรับส่งข้อมูลระหว่างไคลเอนต์ และเซิร์ฟเวอร์อื่นๆ เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และควบคุมการเข้าถึงข้อมูล
- DNS Server: แปลงชื่อโดเมน เป็น IP Address เช่น เมื่อคุณพิมพ์ www.google.com ในเบราว์เซอร์ DNS Server จะแปลงชื่อโดเมนนี้ เป็น IP Address ของ Google เพื่อให้เบราว์เซอร์สามารถเชื่อมต่อกับ Google ได้
ประโยชน์ของเซิร์ฟเวอร์ Server
เซิร์ฟเวอร์มีประโยชน์มากมายต่อทั้งองค์กรและบุคคลทั่วไป ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยในการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น
1. การจัดการข้อมูลแบบรวมศูนย์ (Centralized Data Management)
- เซิร์ฟเวอร์ช่วยให้สามารถจัดเก็บ จัดการ และแบ่งปันข้อมูล จากศูนย์กลาง ทำให้ทุกคนในองค์กร สามารถเข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้ ลดความซ้ำซ้อน และความผิดพลาดของข้อมูล
- ง่ายต่อการสำรองข้อมูล และกู้คืนข้อมูล ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
2. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน (Improved Efficiency)
- เซิร์ฟเวอร์ช่วยให้สามารถแบ่งปันทรัพยากรต่างๆ เช่น เครื่องพิมพ์ อินเทอร์เน็ต และแอปพลิเคชัน ให้กับผู้ใช้งานหลายคนพร้อมกัน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดค่าใช้จ่าย
- เซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้แอปพลิเคชันทำงานได้รวดเร็ว และราบรื่น ไม่เกิดปัญหาคอขวด
3. ความปลอดภัยของข้อมูล (Data Security)
- เซิร์ฟเวอร์มีระบบรักษาความปลอดภัย ที่ช่วยป้องกันการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น การตั้งรหัสผ่าน การเข้ารหัสข้อมูล และ Firewall
- ง่ายต่อการควบคุม และตรวจสอบการเข้าถึงข้อมูล ช่วยลดความเสี่ยงจากการโจรกรรมข้อมูล และไวรัส
4. การเข้าถึงข้อมูลจากระยะไกล (Remote Access)
- เซิร์ฟเวอร์ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูล และแอปพลิเคชัน ได้จากทุกที่ทุกเวลา ผ่านทางอินเทอร์เน็ต เพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงาน
- เหมาะสำหรับองค์กรที่มีพนักงานทำงานนอกสถานที่ หรือมีสาขาหลายแห่ง
5. ความเสถียรและความน่าเชื่อถือ (Stability and Reliability)
- เซิร์ฟเวอร์ถูกออกแบบมาให้ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน มีความเสถียรสูง และทนทานต่อการใช้งานหนัก
- มีระบบสำรองไฟ และระบบป้องกันความผิดพลาด เพื่อให้แน่ใจว่า ระบบจะทำงานได้อย่างต่อเนื่อง แม้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
6. ลดค่าใช้จ่าย (Cost Savings)
- การใช้เซิร์ฟเวอร์ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว เช่น ลดค่าใช้จ่ายด้านฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และการดูแลรักษา
- ช่วยประหยัดพลังงาน เนื่องจากเซิร์ฟเวอร์สามารถรันแอปพลิเคชัน และให้บริการ แก่ผู้ใช้งานหลายคนพร้อมกัน โดยใช้พลังงานน้อยกว่าการใช้คอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่อง
7. การสื่อสาร (Communication)
- เซิร์ฟเวอร์ช่วยอำนวยความสะดวกในการสื่อสาร เช่น การรับส่งอีเมล การประชุมทางไกล และการแชท
8. การปรับขนาดได้ (Scalability)
- เซิร์ฟเวอร์สามารถปรับขนาดได้ตามความต้องการ เช่น สามารถเพิ่มทรัพยากร เช่น CPU, RAM, Storage เมื่อมีผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น หรือมีการใช้งานที่หนักขึ้น
เซิร์ฟเวอร์เป็นส่วนสำคัญของระบบไอที ทั้งในองค์กรขนาดเล็ก และองค์กรขนาดใหญ่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการทำงาน และช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
ติดตั้ง Server เลือกยังไง ?
การเลือกเซิร์ฟเวอร์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเซิร์ฟเวอร์ที่ดีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ความเสถียร และความปลอดภัยของระบบ
ก่อนเลือกซื้อเซิร์ฟเวอร์ ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. กำหนดวัตถุประสงค์และความต้องการ
- ใช้งานอะไร? เช่น เว็บเซิร์ฟเวอร์, ฐานข้อมูลเซิร์ฟเวอร์, ไฟล์เซิร์ฟเวอร์, เกมเซิร์ฟเวอร์, หรือ Virtualization
- ขนาดองค์กร? จำนวนผู้ใช้งาน และปริมาณข้อมูล มีผลต่อขนาดและประสิทธิภาพของเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการ
- งบประมาณ? มีงบประมาณเท่าไหร่ สำหรับซื้อ และดูแลรักษาเซิร์ฟเวอร์
- ความต้องการพิเศษ? เช่น ต้องการความเร็วสูง ความปลอดภัยสูง หรือ ความสามารถในการขยายระบบในอนาคต
2. เลือกประเภทของเซิร์ฟเวอร์
- Tower Server: เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก หรือ Home Server
- Rack Server: เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ที่ต้องการความยืดหยุ่น และประหยัดพื้นที่
- Blade Server: เหมาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง และความหนาแน่นสูง
3. พิจารณา Specifications
- CPU: เลือก CPU ที่มีจำนวน core และ clock speed เหมาะสมกับงาน เช่น Intel Xeon หรือ AMD EPYC
- RAM: เลือก RAM ที่มีความจุ และ speed เพียงพอต่อความต้องการ เช่น DDR4, DDR5
- Storage: เลือก HDD หรือ SSD ที่มีความจุ และ speed เหมาะสมกับงาน และพิจารณา RAID เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล
- Network: เลือก NIC ที่มีความเร็ว และ features เหมาะสมกับความต้องการ เช่น 1GbE, 10GbE
- Power Supply: เลือก Power Supply ที่มีกำลังไฟ และ features เหมาะสมกับความต้องการ เช่น redundant power supply
4. เลือกระบบปฏิบัติการ
- Linux: เหมาะสำหรับผู้ใช้งาน ที่ต้องการความยืดหยุ่น และประหยัดค่าใช้จ่าย
- Windows Server: เหมาะสำหรับองค์กร ที่ต้องการความสะดวกสบาย และการสนับสนุนที่ดี
- Unix: เหมาะสำหรับองค์กร ที่ต้องการความเสถียร และความปลอดภัยสูง
5. พิจารณาผู้ขายและบริการหลังการขาย
- เลือกผู้ขาย ที่มีความน่าเชื่อถือ และมีประสบการณ์
- ตรวจสอบ warranty และ service level agreement (SLA)
- พิจารณา บริการหลังการขาย เช่น การติดตั้ง การดูแลรักษา และ การสนับสนุนทางเทคนิค
6. ทดสอบก่อนตัดสินใจซื้อ
- ทดสอบประสิทธิภาพ และความเสถียรของเซิร์ฟเวอร์ ก่อนตัดสินใจซื้อ
- ขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ หากไม่แน่ใจในการเลือก
Tips เพิ่มเติม
อย่าลืม Security: ให้ความสำคัญกับ Security ของเซิร์ฟเวอร์ เช่น การตั้งรหัสผ่าน การอัพเดทซอฟต์แวร์ และ Firewall
Cloud Server: เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก และ startup ที่ต้องการความยืดหยุ่น และประหยัดค่าใช้จ่าย