PoE คืออะไร ?
PoE ย่อมาจาก Power over Ethernet คือเทคโนโลยีที่ฉลาดมาก เพราะมันช่วยให้เราจ่ายไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์เครือข่ายต่างๆ ผ่านสายแลนเส้นเดียวกัน! ไม่ต้องไปหาปลั๊กไฟมาเสียบให้ยุ่งยากอีกต่อไป
ทำไม อุปกรณ์ Network ต้องใช้ PoE ?
- ประหยัดค่าใช้จ่าย ลดค่าใช้จ่ายในการเดินสายไฟฟ้า เพราะใช้สายแลนเส้นเดียวกันได้ทั้งส่งข้อมูลและจ่ายไฟ
- ติดตั้งง่าย สะดวกในการติดตั้งอุปกรณ์ เพราะไม่ต้องหาปลั๊กไฟให้ยุ่งยาก
- สวยงาม ไม่ต้องมีสายไฟพันกันยุ่งเหยิง ทำให้งานติดตั้งดูเรียบร้อย
- เหมาะกับพื้นที่จำกัด เหมาะสำหรับติดตั้งในพื้นที่ที่เข้าถึงปลั๊กไฟยาก เช่น เพดาน หรือผนัง
PoE ทำงานอย่างไร?
หลักการทำงานง่ายๆ คือ สายแลนปกติจะมีสายทองแดง 4 คู่ แต่เราจะใช้เพียง 2 คู่สำหรับส่งข้อมูล ส่วนอีก 2 คู่จะถูกนำมาใช้สำหรับจ่ายไฟฟ้า
อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
- PoE Switch เป็นอุปกรณ์หลักที่ทำหน้าที่จ่ายไฟฟ้าผ่านสายแลน
- อุปกรณ์ที่รองรับ PoE เช่น Access Point, IP Camera, IP Phone เป็นต้น
ขั้นตอนการทำงาน
- PoE Switch ตรวจสอบว่าอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อรองรับ PoE หรือไม่
- PoE Switch จ่ายไฟฟ้าผ่านสายแลนไปยังอุปกรณ์
- อุปกรณ์ รับไฟฟ้าและทำงานได้ตามปกติ
มาตรฐาน PoE
- PoE มาตรฐานแรกที่ให้กำลังไฟสูงสุดประมาณ 15.4 วัตต์
- PoE+ ให้กำลังไฟสูงสุดประมาณ 30 วัตต์ สามารถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ที่ต้องการกำลังไฟสูงขึ้นได้
- PoE++ ให้กำลังไฟสูงสุดประมาณ 60 หรือ 100 วัตต์ รองรับอุปกรณ์ที่ต้องการกำลังไฟสูงมาก เช่น กล้อง IP ที่มีฟังก์ชั่นพิเศษ
ระบบการจ่ายไฟผ่าน PoE มีกี่แบบ และแตกต่างกันอย่างไร?
ระบบการจ่ายไฟผ่าน PoE (Power over Ethernet) แบ่งออกเป็นหลักๆ ได้ 2 แบบใหญ่ๆ คือ
PoE แบบ Passive
- ลักษณะ เป็นการจ่ายไฟโดยตรงทันทีเมื่อเสียบสายแลนเข้าไป
- ข้อดี ติดตั้งง่าย ราคาถูก
- ข้อเสีย
- ความเสี่ยง หากอุปกรณ์ปลายทางไม่รองรับการจ่ายไฟ อาจทำให้เกิดความเสียหายได้
- ไม่รองรับมาตรฐาน ไม่มีการตรวจสอบความต้องการไฟฟ้าของอุปกรณ์ปลายทาง
PoE แบบ Active
- ลักษณะ จะมีการตรวจสอบและจ่ายไฟอย่างปลอดภัย โดยจะเริ่มต้นด้วยการจ่ายไฟเบาๆ ก่อน เพื่อตรวจสอบว่าอุปกรณ์ปลายทางรองรับหรือไม่ หากรองรับจึงค่อยจ่ายไฟตามมาตรฐาน
- ข้อดี
- ปลอดภัย ป้องกันความเสียหายต่ออุปกรณ์
- รองรับมาตรฐาน ปฏิบัติตามมาตรฐาน IEEE 802.3af, 802.3at, 802.3bt
- ข้อเสีย
- ราคาสูงกว่า เนื่องจากมีวงจรการตรวจสอบที่ซับซ้อนกว่า
นอกจากนี้ PoE แบบ Active ยังแบ่งย่อยตามมาตรฐานได้อีกดังนี้
- IEEE 802.3af (PoE) มาตรฐานแรก ให้กำลังไฟสูงสุดประมาณ 15.4 วัตต์ เหมาะสำหรับอุปกรณ์ทั่วไป เช่น Access Point, IP Phone
- IEEE 802.3at (PoE+) ให้กำลังไฟสูงสุดประมาณ 30 วัตต์ เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการกำลังไฟสูงขึ้น เช่น กล้อง IP ความละเอียดสูง
- IEEE 802.3bt (PoE++) ให้กำลังไฟสูงสุดประมาณ 60 หรือ 100 วัตต์ เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการกำลังไฟสูงมาก เช่น กล้อง IP Pan-Tilt-Zoom, อุปกรณ์ PoE ที่มีหลายพอร์ต
การเลือกใช้ PoE แบบใดขึ้นอยู่กับความต้องการใช้งานและชนิดของอุปกรณ์ โดย PoE แบบ Active ถือเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากมีความปลอดภัยและรองรับมาตรฐาน แต่ก็มีราคาสูงกว่า PoE แบบ Passive
เราสามารถต่อ PoE ได้แบบไหนบ้าง
การต่อ PoE นั้นมีหลายวิธี ซึ่งขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่คุณมีและการออกแบบเครือข่ายของคุณเอง โดยทั่วไปแล้ววิธีการหลักๆ มีดังนี้
1. การต่อ PoE ผ่าน PoE Switch
- วิธีที่นิยมที่สุด เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกที่สุด เพียงแค่เสียบสายแลนจากอุปกรณ์ที่รองรับ PoE (เช่น IP Camera, Access Point) เข้ากับ PoE Switch ก็สามารถใช้งานได้ทันที
- ข้อดี จัดการง่าย มีพอร์ตให้เลือกใช้งานได้หลายพอร์ต และสามารถตั้งค่าการจ่ายไฟได้
- ภาพประกอบ
2. การต่อ PoE ผ่าน PoE Injector
- ใช้เมื่อ PoE Switch ไม่เพียงพอ หรือต้องการเพิ่มพอร์ต PoE เพิ่มเติม
- วิธีการ PoE Injector จะทำหน้าที่แปลงพอร์ต Ethernet ปกติให้เป็นพอร์ต PoE โดยมีสายแลน 2 เส้นเชื่อมต่อระหว่าง PoE Injector กับอุปกรณ์ปลายทาง
- ข้อดี เพิ่มความยืดหยุ่นในการติดตั้ง
- ภาพประกอบ
3. การต่อ PoE ผ่าน PoE Splitter
- ใช้เมื่อ มีอุปกรณ์ที่ไม่รองรับ PoE แต่ต้องการจ่ายไฟให้
- วิธีการ PoE Splitter จะทำหน้าที่แยกสัญญาณข้อมูลและไฟฟ้าออกจากกัน ทำให้สามารถต่ออุปกรณ์ที่ไม่รองรับ PoE เข้ากับสายแลน PoE ได้
- ข้อดี ทำให้อุปกรณ์ที่ไม่รองรับ PoE สามารถใช้งานกับระบบ PoE ได้
- ภาพประกอบ
สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อต่อ PoE
- มาตรฐาน PoE ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ทั้งหมดรองรับมาตรฐาน PoE เดียวกัน (เช่น PoE, PoE+, PoE++)
- กำลังไฟ เลือก PoE Switch หรือ PoE Injector ที่มีกำลังไฟเพียงพอต่ออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ
- ระยะทาง ระยะทางจาก PoE Switch ไปยังอุปกรณ์ปลายทางอาจส่งผลต่อการลดลงของกำลังไฟ
- สายแลน ควรใช้สายแลน Cat5e ขึ้นไป เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด
ข้อควรระวัง
- อย่าต่อ PoE ผ่าน Hub Hub ไม่สามารถจ่ายไฟผ่านสายแลนได้
- ตรวจสอบขั้วของสายแลน การต่อสายแลนผิดขั้วอาจทำให้เกิดความเสียหายกับอุปกรณ์ได้
- ปฏิบัติตามคู่มือการใช้งาน อ่านคู่มือการใช้งานของอุปกรณ์แต่ละชิ้นอย่างละเอียดก่อนการติดตั้ง
การต่อ PoE นั้นค่อนข้างง่าย หากคุณเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมและปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง การเลือกใช้วิธีการต่อ PoE จะขึ้นอยู่กับความต้องการและการออกแบบเครือข่ายของคุณเอง
มาตรฐานของ PoE มีอะไรบ้าง
PoE หรือ Power over Ethernet นั้นมีมาตรฐานที่กำหนดไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ต่างๆ ที่รองรับ PoE จะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ มาตรฐานเหล่านี้จะกำหนดปริมาณกระแสไฟฟ้าที่สามารถส่งผ่านสายแลนได้ รวมถึงแรงดันไฟฟ้าที่ปลอดภัย
มาตรฐาน PoE ที่สำคัญ
- IEEE 802.3af เป็นมาตรฐาน PoE รุ่นแรก ให้กำลังไฟสูงสุดประมาณ 15.4 วัตต์ เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานต่ำ เช่น โทรศัพท์ IP, Access Point แบบพื้นฐาน
- IEEE 802.3at (PoE+) เป็นรุ่นที่พัฒนามาจาก 802.3af ให้กำลังไฟสูงสุดประมาณ 30 วัตต์ สามารถจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูงขึ้น เช่น กล้อง IP ความละเอียดสูง, Access Point ที่มีเสาอากาศภายนอก
- IEEE 802.3bt (PoE++) เป็นรุ่นล่าสุด ให้กำลังไฟสูงสุดประมาณ 60-100 วัตต์ เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูงมาก เช่น กล้อง IP PTZ (Pan-Tilt-Zoom), อุปกรณ์ PoE ที่มีหลายพอร์ต
การเปรียบเทียบมาตรฐาน PoE
มาตรฐาน | กำลังไฟสูงสุด (วัตต์) | เหมาะสำหรับ |
IEEE 802.3af | 15.4 | อุปกรณ์ใช้พลังงานต่ำ |
IEEE 802.3at (PoE+) | 30 | อุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานปานกลาง |
IEEE 802.3bt (PoE++) | 60-100 | อุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูง |
ทำไมต้องรู้มาตรฐาน PoE?
- เลือกอุปกรณ์ ช่วยให้คุณเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับความต้องการ เช่น หากคุณมีกล้อง IP ความละเอียดสูง คุณควรเลือก PoE Switch ที่รองรับมาตรฐาน PoE+ หรือ PoE++
- ความเข้ากันได้ ตรวจสอบความเข้ากันได้ของอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อป้องกันปัญหาการทำงานผิดพลาด
- การวางแผนเครือข่าย ช่วยในการวางแผนและออกแบบเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพ
การเลือกใช้มาตรฐาน PoE ที่เหมาะสมนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการติดตั้งระบบเครือข่าย โดยควรพิจารณาถึงชนิดและจำนวนของอุปกรณ์ที่ต้องการใช้งาน รวมถึงกำลังไฟที่แต่ละอุปกรณ์ต้องการ เพื่อให้ได้ระบบเครือข่ายที่เสถียรและมีประสิทธิภาพสูงสุด
วิธีดู Spec อุปกรณ์ Switch PoE
การเลือกซื้อ Switch PoE นั้นจำเป็นต้องพิจารณาหลายปัจจัย เพื่อให้ได้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานของคุณ โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการดู Specification หรือ Spec ของอุปกรณ์ ซึ่งจะบอกรายละเอียดต่างๆ ที่จำเป็นในการตัดสินใจ เช่น กำลังไฟ, จำนวนพอร์ต, มาตรฐาน PoE และอื่นๆ
สิ่งที่ควรดูใน Spec ของ Switch PoE
- จำนวนพอร์ต จำนวนพอร์ตทั้งหมด และจำนวนพอร์ตที่รองรับ PoE
- มาตรฐาน PoE รองรับ PoE แบบใด (802.3af, 802.3at, 802.3bt) กำลังไฟต่อพอร์ตสูงสุดเท่าไหร่
- กำลังไฟรวม กำลังไฟสูงสุดที่ Switch สามารถจ่ายได้ทั้งหมด
- ความเร็วในการส่งข้อมูล รองรับความเร็ว 1Gbps หรือ 10Gbps
- คุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น การจัดการผ่านเว็บ, การตั้งค่า QoS, การรองรับ PoE Out, SFP slot
- ขนาดและการติดตั้ง ขนาดของตัวเครื่อง, วิธีการติดตั้ง (Rackmount, Desktop)
วิธีการดู Spec และเลือก Switch PoE
- ระบุความต้องการ กำหนดจำนวนอุปกรณ์ที่ต้องการต่อ, กำลังไฟที่อุปกรณ์แต่ละตัวต้องการ, ระยะทางในการเดินสาย และความเร็วในการส่งข้อมูล
- เปรียบเทียบ Spec นำ Spec ของ Switch หลายๆ รุ่นมาเปรียบเทียบกัน โดยพิจารณาจากปัจจัยที่คุณต้องการ
- คำนวณกำลังไฟ รวมกำลังไฟของอุปกรณ์ทั้งหมดที่ต้องการต่อ แล้วเปรียบเทียบกับกำลังไฟสูงสุดของ Switch
- พิจารณาคุณสมบัติเพิ่มเติม เลือก Switch ที่มีคุณสมบัติเพิ่มเติมที่ตรงกับความต้องการ เช่น การจัดการผ่านเว็บ, การตั้งค่า QoS
- งบประมาณ พิจารณาถึงงบประมาณที่คุณมี
ตัวอย่างการเลือก Switch PoE
สมมติว่าคุณต้องการต่อกล้อง IP 5 ตัว แต่ละตัวต้องการกำลังไฟ 15W และต้องการความเร็วในการส่งข้อมูล 1Gbps คุณควรเลือก Switch PoE ที่มี
- จำนวนพอร์ต อย่างน้อย 5 พอร์ต
- มาตรฐาน PoE รองรับ 802.3at (PoE+)
- กำลังไฟรวม ไม่น้อยกว่า 75W
- ความเร็ว 1Gbps
เกร็ดความรู้ในการใช้งาน PoE (Power over Ethernet)
PoE หรือ Power over Ethernet เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้เราสามารถจ่ายไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์เครือข่ายต่างๆ ผ่านสายแลนเส้นเดียวกัน ทำให้การติดตั้งง่ายขึ้นและสะดวกยิ่งขึ้น แต่การใช้งาน PoE ก็มีรายละเอียดปลีกย่อยที่ควรรู้ เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย
เกร็ดความรู้ที่ควรรู้
- เลือก PoE Switch ให้เหมาะสม กำลังไฟรวมของ PoE Switch ต้องเพียงพอต่ออุปกรณ์ทั้งหมดที่เชื่อมต่อ และควรเลือกที่มีมาตรฐาน PoE ตรงกับอุปกรณ์ของคุณ
- ระยะทาง ระยะทางจาก PoE Switch ไปยังอุปกรณ์ปลายทางมีผลต่อกำลังไฟที่ส่งถึงอุปกรณ์ หากระยะทางไกลเกินไป อาจต้องใช้อุปกรณ์เสริม เช่น PoE Injector หรือ PoE Extender
- สายแลน ควรใช้สายแลน Cat5e ขึ้นไป เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการส่งทั้งข้อมูลและไฟฟ้าที่ดี
- ตรวจสอบขั้วของสายแลน การต่อสายแลนผิดขั้วอาจทำให้เกิดความเสียหายกับอุปกรณ์ได้
- ป้องกันการรบกวน หลีกเลี่ยงการเดินสายแลนใกล้กับแหล่งกำเนิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่น สายไฟฟ้าแรงสูง เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน
- ระบายความร้อน PoE Switch จะเกิดความร้อนขณะทำงาน ควรติดตั้งในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
- อุปกรณ์ PoE Passive อุปกรณ์บางชนิดอาจไม่รองรับ PoE แบบ Active ควรตรวจสอบข้อมูลก่อนการใช้งาน
- การจัดการพลังงาน PoE Switch บางรุ่นมีฟังก์ชั่นการจัดการพลังงาน ช่วยให้คุณสามารถควบคุมการจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์แต่ละตัวได้
- ความปลอดภัย ควรตั้งค่าความปลอดภัยของ PoE Switch ให้เหมาะสม เพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
PoE เป็นเทคโนโลยีที่สะดวกและมีประโยชน์ในการติดตั้งเครือข่าย แต่การใช้งานให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีนั้นต้องอาศัยความเข้าใจในหลักการทำงานและการเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม