สายไฟเบอร์ออฟติก Fiber Optic คืออะไร ? สายใยแก้วนําแสง มีกี่ประเภท ส่วนประกอบ และคุณสมบัติ

สายไฟเบอร์ออฟติก Fiber Optic สายใยแก้วนําแสง มีกี่ประเภท ส่วนประกอบ และคุณสมบัติ

ในยุคดิจิทัลที่อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงกลายเป็นสิ่งจำเป็น เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า “สายไฟเบอร์ออฟติก” คือหัวใจสำคัญที่ช่วยให้เราเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นการสตรีมมิ่งหนังความละเอียดสูง การประชุมออนไลน์ หรือการเล่นเกม สายไฟเบอร์ออฟติกก็พร้อมตอบสนองทุกความต้องการ

แต่สายไฟเบอร์ออฟติกคืออะไร? ทำไมถึงเร็วแรงกว่าสายอินเทอร์เน็ตแบบเดิม? และมีประโยชน์อย่างไรบ้าง? บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่เข้าถึงทุกคน

สายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable) หรือ สายใยแก้วนําแสง คือ

สายไฟเบอร์ออฟติก คือ สายสัญญาณที่ทำจากแก้วหรือพลาสติก มีลักษณะเป็นเส้นใยขนาดเล็ก ส่งข้อมูลผ่านแสง แตกต่างจากสายทองแดงแบบเดิมที่ส่งข้อมูลผ่านกระแสไฟฟ้า การส่งข้อมูลด้วยแสงทำให้มีความเร็วสูงกว่า สูญเสียสัญญาณน้อยกว่า และไม่ถูกรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

ลองนึกภาพสายไฟเบอร์ออฟติกเป็นเหมือนท่อส่งน้ำ ที่น้ำไหลผ่านได้อย่างรวดเร็วและไม่มีสิ่งกีดขวาง ส่วนสายทองแดงก็เหมือนท่อที่มีตะกอน ทำให้น้ำไหลช้าและติดขัด

สายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable) หรือ สายใยแก้วนําแสง มีกี่ประเภท อะไรบ้าง

สายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable) เป็นสายส่งสัญญาณข้อมูลความเร็วสูงโดยอาศัยการส่งผ่านแสง มีข้อดีคือ มีความเร็วสูง สูญเสียสัญญาณน้อย และปลอดภัยจากการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลักๆ ตามลักษณะการส่งผ่านแสง ดังนี้

1. สายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Single-mode

สายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Singlemode

  • ลักษณะ: มีแกนกลาง (Core) ขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 9 ไมครอน ทำให้แสงเดินทางเป็นเส้นตรงได้ไกล ลดการสูญเสียสัญญาณ
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับการส่งข้อมูลในระยะทางไกลๆ เช่น การเชื่อมต่อระหว่างเมืองหรือประเทศ การใช้งานในระบบโทรคมนาคม และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
  • ข้อดี: ส่งข้อมูลได้เร็ว ระยะทางไกล สูญเสียสัญญาณน้อย
  • ข้อเสีย: ราคาแพงกว่าแบบ Multi-mode การติดตั้งและดูแลรักษายุ่งยากกว่า

2. สายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Multi-mode

สายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Multimode

  • ลักษณะ: มีแกนกลาง (Core) ขนาดใหญ่กว่าแบบ Single-mode เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 50 หรือ 62.5 ไมครอน ทำให้แสงเดินทางได้หลายเส้นทาง เกิดการกระจายของแสง
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับการส่งข้อมูลในระยะทางใกล้ๆ เช่น ภายในอาคาร ระบบ LAN หรือการเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายในบ้าน
  • ข้อดี: ราคาถูกกว่าแบบ Single-mode การติดตั้งและดูแลรักษาง่ายกว่า
  • ข้อเสีย: ส่งข้อมูลได้ระยะทางสั้นกว่า ความเร็วในการส่งข้อมูลน้อยกว่า มีการสูญเสียสัญญาณมากกว่า

ประเภทของ สายไฟเบอร์ออฟติก ตามลักษณะการใช้งาน

1. สายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Tight Buffer

สายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Tight Buffer

  • โครงสร้าง: เส้นใยแก้วนำแสง (Optical Fiber) ถูกหุ้มด้วยวัสดุ buffer แน่นหนา เพื่อป้องกันแรงกระแทก ความชื้น และสารเคมี มักมีเส้นใย Kevlar เพิ่มความแข็งแรง และหุ้มด้วยเปลือกนอก (Jacket) อีกชั้น
  • คุณสมบัติ: ทนทาน แข็งแรง มีความยืดหยุ่นปานกลาง
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับการใช้งานภายนอกอาคาร เดินสายในรางเคเบิล ติดตั้งบนเสา หรือฝังดินในระยะทางไม่ไกลมาก
  • ข้อดี: ติดตั้งง่าย ราคาไม่แพง
  • ข้อเสีย: ไม่เหมาะกับการฝังดินในระยะทางไกลๆ เพราะอาจเกิดความเสียหายจากแรงกดทับของดินได้

2. สายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Loose Tube

สายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Loose Tube

  • โครงสร้าง: เส้นใยแก้วนำแสงหลายเส้น รวมอยู่ในหลอด (Tube) ที่มีลักษณะหลวมๆ ภายในหลอดมีเจลกันน้ำ ช่วยป้องกันความเสียหายจากแรงกดทับ และการหักงอของเส้นใย
  • คุณสมบัติ: มีความยืดหยุ่นสูง ทนทานต่อแรงดึง และแรงกดทับ
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับการฝังดิน ลากผ่านท่อ หรือในพื้นที่ที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง
  • ข้อดี: ป้องกันเส้นใยแก้วได้ดี เหมาะกับการใช้งานในระยะทางไกลๆ
  • ข้อเสีย: ราคาแพงกว่าแบบ Tight Buffer การติดตั้งซับซ้อนกว่า

3. สายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Outdoor / Indoor

สายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Outdoor / Indoor

  • โครงสร้าง: ออกแบบมาให้มีคุณสมบัติทั้งแบบ Tight Buffer และ Loose Tube โดยอาจมีทั้งชั้น buffer แน่นหนา และหลอดกันน้ำ รวมอยู่ในสายเส้นเดียว
  • คุณสมบัติ: ทนทานต่อสภาพอากาศ ความชื้น และแรงกดทับ
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับการใช้งานทั้งภายนอกและภายในอาคาร เช่น เดินสายจากภายนอกเข้าภายในอาคาร หรือในพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมหลากหลาย
  • ข้อดี: ใช้งานได้หลากหลาย สะดวก
  • ข้อเสีย: ราคาค่อนข้างสูง

นอกจากนี้ ยังมีสายไฟเบอร์ออฟติกแบบพิเศษอื่นๆ อีก เช่น

  • สายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Armored: มีชั้นโลหะหุ้ม เพื่อป้องกันหนู แมลง และสัตว์กัดแทะ
  • สายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Submarine: ออกแบบมาสำหรับการใช้งานใต้น้ำ เช่น การเชื่อมต่อระบบสื่อสารระหว่างประเทศ

การเลือกใช้สายไฟเบอร์ออฟติกประเภทใด ควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพแวดล้อมการใช้งาน ระยะทาง งบประมาณ และความต้องการใช้งาน เป็นต้น

การเลือกใช้สายไฟเบอร์ออฟติก ควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น

  • ระยะทาง: หากต้องการส่งข้อมูลในระยะทางไกล ควรเลือกใช้สายแบบ Single-mode
  • ความเร็ว: หากต้องการความเร็วในการส่งข้อมูลสูง ควรเลือกใช้สายแบบ Single-mode
  • งบประมาณ: หากมีงบประมาณจำกัด สามารถเลือกใช้สายแบบ Multi-mode สำหรับการใช้งานในระยะทางสั้นๆ
  • สภาพแวดล้อม: ควรเลือกสายให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการใช้งาน เช่น การใช้งานภายนอกอาคาร ควรเลือกสายที่มีความทนทานต่อสภาพอากาศ

คุณสมบัติ ของ สายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable) หรือ สายใยแก้วนําแสง

สายไฟเบอร์ออฟติก หรือ สายใยแก้วนำแสง มีคุณสมบัติที่โดดเด่นหลายประการ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการส่งสัญญาณข้อมูลในยุคดิจิทัล เรามาเจาะลึกคุณสมบัติสำคัญกันครับ

1. องค์ประกอบและโครงสร้าง

1. แกนกลาง (Core)

แกนกลาง (Core) ของสายไฟเบอร์ออฟติก

  • เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของสายไฟเบอร์ออฟติก ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งผ่านแสง
  • ทำจากแก้วหรือพลาสติก มีความบริสุทธิ์สูง เพื่อให้แสงเดินทางผ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับประเภทของสายไฟเบอร์ออฟติก
    • Single-mode: มีแกนกลางขนาดเล็ก ประมาณ 8-10 ไมครอน
    • Multi-mode: มีแกนกลางขนาดใหญ่กว่า ประมาณ 50-100 ไมครอน

2. ชั้น Cladding

ชั้น Cladding ของสายไฟเบอร์ออฟติก

  • เป็นชั้นที่หุ้มแกนกลาง ทำหน้าที่สะท้อนแสงกลับเข้าไปในแกนกลาง เพื่อให้แสงเดินทางไปตามเส้นใยแก้วได้อย่างต่อเนื่อง
  • ทำจากวัสดุที่มีค่าดัชนีหักเหแสงต่ำกว่าแกนกลาง เพื่อให้เกิดการสะท้อนกลับหมด (Total Internal Reflection)

3. ชั้น Coating

ชั้น Coating ของสายไฟเบอร์ออฟติก

  • เป็นชั้นที่หุ้มชั้น Cladding ทำหน้าที่ป้องกันแกนกลางและชั้น Cladding จากความเสียหาย เช่น รอยขีดข่วน ความชื้น และสารเคมี
  • ทำจากวัสดุที่มีความแข็งแรง ยืดหยุ่น และทนทาน เช่น อะคริลิก ซิลิโคน หรือพลาสติก

4. เส้นใย Kevlar (ในบางประเภท)

เส้นใย Kevlar ในสายไฟเบอร์ออฟติก

  • เป็นเส้นใยสังเคราะห์ที่มีความแข็งแรงสูง ใช้เพิ่มความแข็งแรงให้กับสายไฟเบอร์ออฟติก ป้องกันการขาด และการหักงอ
  • มักพบในสายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Tight Buffer ที่ใช้สำหรับการใช้งานภายนอกอาคาร

5. เปลือกนอก (Jacket)

เปลือกนอก (Jacket) ของสายไฟเบอร์ออฟติก

  • เป็นชั้นนอกสุดของสายไฟเบอร์ออฟติก ทำหน้าที่หุ้มวัสดุทั้งหมด เพื่อป้องกันความเสียหายจากสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น ความร้อน ความเย็น แสงแดด และสารเคมี
  • ทำจากวัสดุที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับการใช้งาน เช่น PVC PE หรือ LSZH

นอกจากส่วนประกอบหลักๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว สายไฟเบอร์ออฟติกบางประเภท อาจมีส่วนประกอบอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น

  • หลอดกันน้ำ (Water Blocking Tube): ใช้ในสายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Loose Tube เพื่อป้องกันน้ำเข้าสู่เส้นใยแก้ว
  • ริบบิ้น (Ribbon): ใช้รวมเส้นใยแก้วหลายๆ เส้นเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของเส้นใย และความเร็วในการส่งข้อมูล

2. หลักการทำงาน

  • การแปลงสัญญาณ: ข้อมูลจะถูกแปลงจากสัญญาณไฟฟ้าเป็นสัญญาณแสง โดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า Optical Transmitter
  • การส่งผ่านแสง: แสงจะเดินทางผ่านแกนกลางของสายไฟเบอร์ออฟติก โดยอาศัยหลักการสะท้อนกลับหมด ทำให้แสงไม่เล็ดลอดออกนอกแกนกลาง
  • การรับสัญญาณ: เมื่อแสงเดินทางไปถึงปลายทาง อุปกรณ์ Optical Receiver จะแปลงสัญญาณแสงกลับเป็นสัญญาณไฟฟ้า

3. ประเภท

  • Single-mode: แกนกลางมีขนาดเล็ก (ประมาณ 9 ไมครอน) แสงเดินทางเป็นเส้นตรง เหมาะสำหรับการส่งข้อมูลระยะไกล มีความเร็วสูง และสูญเสียสัญญาณน้อย
  • Multi-mode: แกนกลางมีขนาดใหญ่กว่า (ประมาณ 50 หรือ 62.5 ไมครอน) แสงเดินทางได้หลายเส้นทาง เหมาะสำหรับการส่งข้อมูลระยะใกล้

4. คุณสมบัติทางแสง

  • ค่าดัชนีหักเห: เป็นคุณสมบัติที่สำคัญ กำหนดทิศทางการเดินทางของแสงภายในเส้นใย
  • การลดทอน (Attenuation): เป็นการสูญเสียพลังงานแสง ระหว่างการเดินทางในเส้นใย มีหน่วยเป็น dB/km ค่านี้ยิ่งต่ำ ยิ่งดี
  • การกระจาย (Dispersion): เป็นการบิดเบือนของสัญญาณแสง ทำให้ความเร็วในการส่งข้อมูลลดลง

5. คุณสมบัติเชิงกล

  • ความแข็งแรง: ทนต่อแรงดึง แรงกดทับ และแรงกระแทก
  • ความยืดหยุ่น: สามารถโค้งงอได้ โดยไม่ทำให้เส้นใยแก้วหัก
  • น้ำหนัก: มีน้ำหนักเบา สะดวกในการติดตั้ง

6. คุณสมบัติทางไฟฟ้า

  • เป็นฉนวน: ไม่นำไฟฟ้า ปลอดภัยจากไฟฟ้าดูด และไม่ถูกรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

7. อายุการใช้งาน

  • มีอายุการใช้งานยาวนาน ทนทานต่อความร้อน ความชื้น และสารเคมี

ข้อดี ของ สายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable) หรือ สายใยแก้วนําแสง

สายไฟเบอร์ออฟติก หรือ สายใยแก้วนำแสง เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลที่ใช้แสงเป็นสื่อกลางในการส่งข้อมูลผ่านเส้นใยแก้ว มีข้อดีและคุณสมบัติเด่นมากมาย เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความเร็วสูง ความเสถียร และความปลอดภัย ดังนี้

1. ความเร็วในการส่งข้อมูลสูง

  • สายไฟเบอร์ออฟติกส่งข้อมูลด้วยแสง ซึ่งเร็วกว่ากระแสไฟฟ้าที่ใช้ในสายทองแดงมาก
  • ความเร็วนี้ทำให้เราทำกิจกรรมออนไลน์ได้ลื่นไหล ไม่ว่าจะดาวน์โหลดไฟล์ขนาดใหญ่ ดูหนัง 4K เล่นเกมออนไลน์ หรือประชุมวิดีโอคอล ก็ไม่มีสะดุด
  • สายไฟเบอร์ออฟติกในปัจจุบัน มีความเร็วระดับ Gbps (gigabits per second) ซึ่งเร็วกว่าสายทองแดงแบบ ADSL เป็นร้อยเท่า!
  • เทคโนโลยี 5G และ Internet of Things (IoT) ก็ใช้ประโยชน์จากความเร็วสูงของสายไฟเบอร์ออฟติก

2. ความเสถียรในการส่งข้อมูล

ความเสถียรของสายไฟเบอร์ออฟติก เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ได้รับความนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมีความสำคัญ สายไฟเบอร์ออฟติกจึงเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์ ทั้งในด้านความเร็ว และความเสถียร เพื่อประสบการณ์การใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ดีที่สุด

ปัจจัยที่ทำให้สายไฟเบอร์ออฟติกมีความเสถียรสูง

  • การป้องกันสัญญาณรบกวน: สายไฟเบอร์ออฟติกส่งข้อมูลด้วยแสง จึงไม่ถูกรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Interference: EMI) และคลื่นวิทยุ (Radio Frequency Interference: RFI) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สัญญาณอินเทอร์เน็ตในสายทองแดงเกิดการสูญเสีย และความไม่เสถียร
  • การลดทอนสัญญาณต่ำ: สายไฟเบอร์ออฟติกมีการลดทอนสัญญาณต่ำมาก (Low Attenuation) หมายความว่าสัญญาณสามารถเดินทางได้ในระยะทางไกล ๆ โดยไม่สูญเสียคุณภาพ
  • ไม่มี Crosstalk: Crosstalk คือ การรบกวนระหว่างสายสัญญาณ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบในสายทองแดง แต่สายไฟเบอร์ออฟติกไม่มีปัญหานี้ ทำให้สัญญาณมีความคมชัด และเสถียร

ประโยชน์ของความเสถียร

  • เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความต่อเนื่อง: เช่น การประชุมทางไกล (Video Conference) การเรียนออนไลน์ (E-learning) การสตรีมมิ่งสด (Live Streaming) และการเล่นเกมออนไลน์ (Online Gaming) ที่ต้องการการเชื่อมต่อที่เสถียร ไม่มีสะดุด
  • รองรับการใช้งานพร้อมกันหลายอุปกรณ์: แม้ในช่วงเวลาที่มีคนใช้งานอินเทอร์เน็ตพร้อมกันจำนวนมาก เช่น ตอนเย็น หรือวันหยุด สัญญาณอินเทอร์เน็ตจากสายไฟเบอร์ออฟติกก็ยังคงแรง ไม่มีหลุด
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน: ช่วยลดปัญหาการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ไม่เสถียร ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน และธุรกิจ

3. ความปลอดภัยในการส่งข้อมูล

ในยุคที่ข้อมูลมีค่าดุจทองคำ การปกป้องข้อมูลจากการโจรกรรมทางไซเบอร์ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง สายไฟเบอร์ออฟติก ด้วยคุณสมบัติพิเศษในการส่งข้อมูลด้วยแสง จึงกลายเป็น “ป้อมปราการข้อมูล” ที่แข็งแกร่ง ช่วยปกป้องข้อมูลสำคัญของคุณจากภัยคุกคามต่าง ๆ

เหตุผลที่สายไฟเบอร์ออฟติกมีความปลอดภัยสูง

  • ยากต่อการดักจับข้อมูล: การดักจับข้อมูลจากสายไฟเบอร์ออฟติก ทำได้ยากกว่าสายทองแดงมาก เนื่องจากสายไฟเบอร์ออฟติกส่งข้อมูลด้วยแสง ซึ่งไม่มีการแผ่รังสี (Radiation) ออกมารอบ ๆ สาย เหมือนกับกระแสไฟฟ้าในสายทองแดง ผู้ไม่หวังดีจึงไม่สามารถดักจับข้อมูลได้ง่าย ๆ
  • ป้องกันการแทรกแซง: สายไฟเบอร์ออฟติก ทนทานต่อการแทรกแซง (Interference) จากภายนอก เช่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลเกิดความเสียหาย หรือถูกขโมย
  • ตรวจจับการบุกรุก: หากมีการพยายาม “ตัด” หรือ “เจาะ” สายไฟเบอร์ออฟติก เพื่อดักจับข้อมูล แสงที่ส่งผ่านสายจะหยุดลงทันที ทำให้ระบบสามารถตรวจจับการบุกรุกได้ และแจ้งเตือนไปยังผู้ดูแลระบบ

ใครบ้างที่ควรใช้สายไฟเบอร์ออฟติก?

  • องค์กร และธุรกิจ: โดยเฉพาะองค์กรที่มีข้อมูลสำคัญ และต้องการความปลอดภัยสูง เช่น ธนาคาร โรงพยาบาล หน่วยงานราชการ บริษัท ที่มีความลับทางการค้า
  • บุคคลทั่วไป: ในยุคที่ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น บัญชีธนาคาร ข้อมูลบัตรเครดิต มีความสำคัญ สายไฟเบอร์ออฟติก ช่วยเพิ่มความอุ่นใจ ในการใช้งานอินเทอร์เน็ต

สายไฟเบอร์ออฟติก ไม่เพียงแต่ให้ความเร็ว และเสถียรภาพ แต่ยังให้ความปลอดภัยในการส่งข้อมูล เหนือกว่าสายทองแดง จึงเป็นเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ สำหรับองค์กร ธุรกิจ และบุคคลทั่วไป ที่ต้องการปกป้องข้อมูล ในยุคดิจิทัล

สายไฟเบอร์ออฟติกใช้ทำอะไร

1. อินเทอร์เน็ตบ้าน

  • สายไฟเบอร์ออฟติกทำให้เรามีอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูง ดูหนัง เล่นเกม ทำงาน เรียนออนไลน์ ได้อย่างไม่มีสะดุด
  • แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ อนาคตเราอาจเห็น “smart home” ที่ควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และระบบรักษาความปลอดภัยในบ้าน ผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจากสายไฟเบอร์ออฟติก

2. โทรศัพท์มือถือ 5G

  • สายไฟเบอร์ออฟติกเป็นเหมือน “เส้นเลือดใหญ่” ที่ช่วยให้ 5G ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
  • 5G ไม่ใช่แค่ internet เร็วขึ้น แต่ยังรองรับ “Internet of Things (IoT)” ที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เข้ากับอินเทอร์เน็ต

3. การแพทย์

  • สายไฟเบอร์ออฟติกมีขนาดเล็ก ยืดหยุ่น และส่งภาพได้คมชัด จึงเหมาะกับการส่องกล้องตรวจภายใน
  • นอกจากนี้ยังใช้ใน “การผ่าตัดด้วยเลเซอร์” ที่แม่นยำ ลดการเสียเลือด และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น

4. อุตสาหกรรม

  • ในโรงงาน สายไฟเบอร์ออฟติกใช้ควบคุมเครื่องจักร หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติต่าง ๆ
  • ยังใช้ในระบบรักษาความปลอดภัย เช่น กล้องวงจรปิด เซ็นเซอร์ตรวจจับ เพื่อความปลอดภัยของพนักงานและทรัพย์สิน

5. อื่น ๆ

  • สายไฟเบอร์ออฟติกยังใช้ใน ระบบเคเบิลทีวี ระบบสื่อสารดาวเทียม การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และอีกมากมาย

สายไฟเบอร์ออฟติก ควรใช้กี่ core

การเลือกจำนวน Core ของสายไฟเบอร์ออฟติก ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักๆ ดังนี้

1. ความต้องการใช้งาน

จำนวนผู้ใช้งาน: ยิ่งมีผู้ใช้งานมาก ยิ่งต้องการ Core จำนวนมากขึ้น เพื่อรองรับการรับส่งข้อมูลพร้อมกัน

ประเภทของข้อมูล: หากต้องการรับส่งข้อมูลประเภทต่างๆ เช่น ข้อมูลเสียง ข้อมูลภาพ และข้อมูลอินเทอร์เน็ต อาจต้องใช้ Core แยกกัน เพื่อป้องกันการรบกวนของสัญญาณ

การใช้งานในอนาคต: ควรเผื่อจำนวน Core ไว้สำหรับการขยายระบบในอนาคต เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งสายใหม่

2. งบประมาณ

สายไฟเบอร์ออฟติกที่มี Core จำนวนมาก จะมีราคาสูงกว่า ดังนั้น ควรเลือกจำนวน Core ให้เหมาะสมกับงบประมาณ และความต้องการใช้งาน

3. สภาพแวดล้อม

หากต้องติดตั้งสายในพื้นที่จำกัด เช่น ในท่อร้อยสาย ควรเลือกสายที่มี Core จำนวนน้อย เพื่อความสะดวกในการติดตั้ง

ตัวอย่างการเลือกจำนวน Core

สถานที่ / การใช้งานจำนวน Core (โดยประมาณ)เหตุผล
บ้านพักอาศัย2 Coreเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต, โทรศัพท์
สำนักงานขนาดเล็ก4-12 Coreคอมพิวเตอร์, โทรศัพท์, กล้องวงจรปิด
สำนักงานขนาดกลาง – ใหญ่12-48 Coreระบบเครือข่าย, Server, ระบบโทรศัพท์, กล้องวงจรปิด
อาคารสูง24 Core ขึ้นไปผู้เช่า, ระบบภายในอาคาร, ระบบรักษาความปลอดภัย
โรงงานอุตสาหกรรม12-48 Core ขึ้นไปเครื่องจักร, ระบบควบคุม, กล้องวงจรปิด, ระบบรักษาความปลอดภัย
ศูนย์ข้อมูล (Data Center)48 Core ขึ้นไปServer, ระบบเครือข่าย, การรับส่งข้อมูลจำนวนมาก
โครงข่ายโทรคมนาคม96 Core ขึ้นไปการเชื่อมต่อระหว่างเมือง, ระบบโทรศัพท์, อินเทอร์เน็ต

สาย ADSS กับ Arss ต่างกันอย่างไรสาย 

สาย ADSS (All-Dielectric Self-Supporting) และสาย Arss (All-dielectric Rod self-Supporting) เป็นสายไฟเบอร์ออฟติกที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานภายนอกอาคาร โดยเฉพาะการติดตั้งบนเสาไฟฟ้า แต่มีข้อแตกต่างกันดังนี้

  1. สาย ADSS

สายไฟเบอร์ออฟติกแบบ ADSS

  • โครงสร้าง: มีเส้นใยแก้วนำแสงอยู่ภายใน หุ้มด้วยวัสดุกันน้ำ และมีเปลือกนอก (Jacket) ที่ทำจากพลาสติกชนิดพิเศษ มีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงดึง และสภาพอากาศ
  • คุณสมบัติ: ไม่นำไฟฟ้า น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย ไม่ต้องใช้สาย messenger wire
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับการเดินสายไฟเบอร์ออฟติกในระยะปานกลาง เช่น การเชื่อมต่อระหว่างอาคาร หรือการลากสายข้ามถนน
  1. สาย Arss

สายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Arss

  • โครงสร้าง: มีแกนกลางเป็น FRP (Fiber Reinforced Plastic) ซึ่งเป็นวัสดุผสมระหว่างเส้นใยแก้วและพลาสติก มีความแข็งแรงสูง เส้นใยแก้วนำแสงจะอยู่รอบๆ แกน FRP และหุ้มด้วยเปลือกนอก
  • คุณสมบัติ: แข็งแรงกว่าสาย ADSS ทนทานต่อแรงดึงสูง สามารถรับน้ำหนักได้มาก เหมาะสำหรับการเดินสายในระยะทางไกลๆ
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับการเดินสายไฟเบอร์ออฟติกในระยะทางไกล เช่น การเชื่อมต่อระหว่างเมือง หรือการลากสายข้ามแม่น้ำ

สาย Arss มีความแข็งแรง และทนทานต่อแรงดึงมากกว่าสาย ADSS จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในระยะทางไกล และสภาพแวดล้อมที่รุนแรงกว่า

สายไฟเบอร์ออฟติก Single Mode กับ Multimode

สายไฟเบอร์ออฟติก Single Mode และ Multimode เป็นสายไฟเบอร์ออฟติกที่แบ่งตามลักษณะการส่งผ่านแสง มีข้อแตกต่างกันดังนี้

  1. สาย Single Mode

สายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Single Mode

  • โครงสร้าง: มีแกนกลางขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 9 ไมครอน ทำให้แสงเดินทางเป็นเส้นตรงได้ไกล ลดการสูญเสียสัญญาณ
  • คุณสมบัติ: ส่งข้อมูลได้เร็ว ระยะทางไกล สูญเสียสัญญาณน้อย
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับการส่งข้อมูลในระยะทางไกลๆ เช่น การเชื่อมต่อระหว่างเมืองหรือประเทศ การใช้งานในระบบโทรคมนาคม และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
  1. สาย Multimode

สายไฟเบอร์ออฟติกแบบ Multimode

  • โครงสร้าง: มีแกนกลางขนาดใหญ่กว่าแบบ Single-mode เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 50 หรือ 62.5 ไมครอน ทำให้แสงเดินทางได้หลายเส้นทาง เกิดการกระจายของแสง
  • คุณสมบัติ: ส่งข้อมูลได้ระยะทางสั้นกว่า ความเร็วในการส่งข้อมูลน้อยกว่า มีการสูญเสียสัญญาณมากกว่า
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับการส่งข้อมูลในระยะทางใกล้ๆ เช่น ภายในอาคาร ระบบ LAN หรือการเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายในบ้าน

สาย Single Mode เหมาะสำหรับการส่งข้อมูลระยะไกล ด้วยความเร็วสูง และสูญเสียสัญญาณน้อย ส่วนสาย Multimode เหมาะสำหรับการส่งข้อมูลระยะใกล้ ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า

ตารางเปรียบเทียบ สาย ADSS, Arss, Single Mode, Multimode

คุณสมบัติสาย ADSSสาย Arssสาย Single Modeสาย Multimode
โครงสร้างไม่มีแกนกลางมีแกนกลาง FRPแกนกลางเล็กแกนกลางใหญ่
ความแข็งแรงปานกลางสูง
ระยะทางปานกลางไกลไกลใกล้
ความเร็วสูงต่ำ
การสูญเสียสัญญาณต่ำสูง
การใช้งานภายนอกอาคาร ระยะปานกลางภายนอกอาคาร ระยะไกลระยะไกล โทรคมนาคมระยะใกล้ ภายในอาคาร

ข้อมูลเพิ่มเติม : WikiPedia

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *