มีการพูดถึงกันมากมายเกี่ยวกับการคืบคลานเข้ามาของหุ่นยนต์ในภาคบริการว่าจะมาแทนที่พนักงานที่เป็นมนุษย์กันมากขึ้น และบรรดาผู้เชี่ยวชาญรวมถึงผู้ประกอบการจริง ๆ เริ่มชั่งตวงวัดถึงประสิทธิภาพและความคุ้มค่าของหุ่นยนต์เหล่านี้มากขึ้นแล้ว
หลายคนอาจจะเคยเห็นหุ่นยนต์บริกรตามร้านอาหารกันบ้างแล้ว พวกมันจะมีความสูงระดับเอวของมนุษย์ คอยทักทายลูกค้า และนำพวกเขาไปที่โต๊ะอาหาร นอกจากนี้พวกมันยังสามารถเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่ม และส่งจานสกปรกไปที่ครัว หุ่นยนต์บางตัวมีใบหน้าเหมือนแมวและยังส่งเสียงร้องคล้ายแมวเมื่อถูกเกาที่หัวอีกด้วย
ทั้งนี้ หลายคนอาจคิดว่าหุ่นยนต์บริกรคือทางออกของการขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรม ยอดขายหุ่นยนต์เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยขณะนี้มียอดขายหลายหมื่นตัวซึ่งมาจากร้านอาหารทั่วโลก
เดนนิส เรย์โนลด์ส คณบดีของ Hilton College of Global Hospitality Leadership แห่งมหาวิทยาลัยฮิวสตัน กล่าวว่าร้านอาหารของทางมหาวิทยาลัยก็เริ่มใช้หุ่นยนต์ตั้งแต่เดือนธันวาคม ซึ่งได้ช่วยแบ่งเบาภาระงานของพนักงานที่เป็นมนุษย์ และยังทำให้การบริการมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เคร็ก ลี แคลร์ รองประธานบริษัทที่ปรึกษา Forrester ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับระบบอัตโนมัติกล่าวว่า “ร้านอาหารเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างวุ่นวาย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะใส่ระบบอัตโนมัติเพื่อให้หุ่นยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิผลจริง ๆ”
แต่ถึงกระนั้น การใช้หุ่นยนต์ก็ยังแพร่หลายมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเช่นที่ Bear Robotics ในรัฐแคลิฟอร์เนียได้เปิดตัวหุ่นยนต์ Servi ในปี 2021 และคาดว่าจะมีการใช้งานหุ่นยนต์ดังกล่าว 10,000 ตัวภายในสิ้นปีนี้ใน 44 รัฐของสหรัฐฯ รวมทั้งในต่างประเทศ ส่วน Pudu Robotics ของจีน ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2016 ได้ขายหุ่นยนต์ไปมากกว่า 56,000 ตัวเพื่อใช้ตามที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
ฟิล เจิ้ง จาก Richtech Robotics ผู้ผลิตระบบเซิร์ฟเวอร์หุ่นยนต์ในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส กล่าวว่า “เครือร้านอาหารทุกหนทุกแห่งกำลังมองหาการใช้ระบบอัตโนมัติให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” และว่า “จะได้เห็นการใช้หุ่นยนต์เสิร์ฟอาหารทุกหนทุกแห่งในปีหรือสองปีหน้า”
หลี่ ไจ้ ต้องพบกับปัญหาในการขาดแคลนพนักงานที่ร้าน Noodle Topia ในแมดิสัน ไฮท์ส รัฐมิชิแกน ในช่วงฤดูร้อนปี 2021 เขาจึงซื้อ BellaBot จาก Pudu Robotics หุ่นยนต์ดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างมาก เขาจึงได้ซื้อเพิ่มอีกสองตัว
ตอนนี้ หุ่นยนต์ตัวหนึ่งจะนำลูกค้าไปยังที่นั่ง ขณะที่อีกตัวนำชามบะหมี่ไปเสิร์ฟที่โต๊ะ จากนั้นพนักงานจะนำจานสกปรกไปไว้บนหุ่นยนต์ตัวที่สามเพื่อให้ส่งจานเหล่านั้นกลับไปที่ครัว
และในตอนนี้ ไจ้ ต้องการใช้คนงานเพียงสามคนในการทำงานในปริมาณเท่ากับพนักงาน 5-6 คนเคยทำมาก่อน ซึ่งเป็นการช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่าย
เขากล่าวด้วยว่าหุ่นยนต์มีราคาราว 15,000 ดอลลาร์ แต่สำหรับคนงานหนึ่งคนมีค่าใช้จ่ายราว 5,000 ถึง 6,000 ดอลลาร์ต่อเดือนเลยทีเดียว
ไจ้ กล่าวต่อไปว่า หุ่นยนต์ช่วยให้พนักงานที่เป็นมนุษย์มีเวลามากขึ้นในการทักทายพูดคุยกับลูกค้า ซึ่งเป็นการเพิ่มทิปให้พนักงานเหล่านั้น และลูกค้าก็มักจะโพสต์วิดีโอของหุ่นยนต์บนโซเชียลมีเดียเพื่อดึงดูดผู้คนให้มาทานที่ร้าน
ผู้ประกอบการในมิชิแกนเสริมอีกว่า “นอกจากการใช้หุ่นยนต์จะช่วยในการประหยัดแรงงานแล้ว หุ่นยนต์ยังช่วยสร้างธุรกิจอีกด้วย”
เบ็ทซี จีรอน เรย์โนซา ซึ่งทำงานร่วมกับ BellaBot ที่ร้าน The Sushi Factory ในเวสต์เมลเบิร์น รัฐฟลอริดา กล่าวว่าบางครั้งการทำงานกับหุ่นยนต์ก็ทำให้ปวดหัว เพราะไม่สามารถบอกให้มันเคลื่อนไหวหรืออะไรก็ได้ และว่าเธอยังมีลูกค้าที่ไม่ต้องการโต้ตอบกับหุ่นยนต์ด้วย แต่โดยรวมแล้วการใช้หุ่นยนต์ก็เป็นข้อดี เพราะช่วยให้เธอไม่ต้องเดินเข้าออกในครัว และช่วยให้มีเวลาพูดคุยกับลูกค้ามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าร้านอาหารทั้งหมดจะประสบความสำเร็จกับการใช้หุ่นยนต์
อย่างเช่นที่ร้านอาหาร Chili’s ซึ่งเปิดตัวระบบเซิร์ฟเวอร์หุ่นยนต์ชื่อ Rita ในปี 2020 และขยายการทดสอบไปยังร้านอาหาร 61 แห่งในสหรัฐฯ ก่อนจะหยุดลงอย่างกะทันหันเมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เนื่องจากริต้าเคลื่อนที่ช้าเกินไปและไปขวางทางการเสิร์ฟอาหารของมนุษย์ และลูกค้า 58% ที่ทำแบบสำรวจบอกว่าริต้าไม่ได้ช่วยให้ประสบการณ์ในร้านอาหารโดยรวมของพวกเขาดีขึ้นเลย
ซารุ จายารามัน ประธานกลุ่ม One Fair Wage ซึ่งสนับสนุนในเรื่องการจ่ายค่าแรงที่สูงขึ้นให้แก่พนักงานในร้านอาหาร กล่าวว่าบรรดาร้านอาหารทั้งหลายสามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงานได้ด้วยวิธีง่าย ๆ ซึ่งก็คือการขึ้นค่าแรงแก่พนักงาน และว่ามนุษย์เราไม่ได้ไปที่ร้านอาหารที่มีบริการครบวงจร เพื่อที่จะรับบริการจากเทคโนโลยี แต่พวกเขาไปที่ร้านเพื่อให้ตัวเองและคนที่รักได้สัมผัสประสบการณ์การเสิร์ฟอาหารของมนุษย์
แหล่งที่มา :
- ภาพและบทความภาษาไทย : sanook.com