Public Cloud vs Private Cloud สำหรับองค์กร เลือกใช้ยังไงดี?

Public Cloud vs Private Cloud

การเลือกใช้งาน Public Cloud หรือ Private Cloud สำหรับองค์กรเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ความปลอดภัย และค่าใช้จ่ายขององค์กร การเลือกใช้ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจ ความต้องการเฉพาะทาง และเป้าหมายในอนาคตขององค์กร ต่อไปนี้คือข้อมูลสำคัญที่ช่วยในการตัดสินใจ

Public Cloud คืออะไร?

Public Cloud คือการใช้บริการจากผู้ให้บริการคลาวด์ เช่น AWS, Microsoft Azure, Google Cloud ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานจะถูกแบ่งใช้ร่วมกันระหว่างผู้ใช้งานหลายองค์กร

ข้อดี

  1. ต้นทุนต่ำ ไม่มีค่าใช้จ่ายในการสร้างและดูแลโครงสร้างพื้นฐานเอง ผู้ใช้จ่ายเฉพาะที่ใช้งานจริง (Pay-as-you-go)
  2. ยืดหยุ่นและขยายตัวได้ง่าย สามารถเพิ่มหรือลดทรัพยากรได้ตามต้องการ
  3. ความพร้อมใช้งานสูง ผู้ให้บริการมักมีระบบสำรองและโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง
  4. อัปเดตและฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้รับเทคโนโลยีล่าสุดโดยไม่ต้องจัดการเอง

ข้อเสีย

  1. ความปลอดภัย แม้จะมีมาตรการป้องกัน แต่ข้อมูลสำคัญอาจถูกจัดเก็บบนโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ร่วมกัน
  2. การควบคุม มีข้อจำกัดในการปรับแต่งระบบและโครงสร้างพื้นฐาน
  3. ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเมื่อใช้งานหนัก หากมีการใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ค่าใช้จ่ายอาจสูงกว่าที่คาดการณ์

Private Cloud คืออะไร?

Private Cloud เป็นระบบคลาวด์ที่องค์กรสร้างและดูแลเอง หรืออาจจ้างผู้ให้บริการที่สร้างโครงสร้างพื้นฐานเฉพาะสำหรับองค์กรเดียว

ข้อดี

  1. ความปลอดภัยสูง เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดถูกจัดเก็บในโครงสร้างพื้นฐานที่องค์กรควบคุม
  2. ควบคุมและปรับแต่งได้เต็มที่ สามารถออกแบบระบบให้เหมาะสมกับความต้องการของธุรกิจ
  3. เหมาะกับข้อกำหนดเฉพาะทาง เช่น อุตสาหกรรมที่มีข้อกำหนดด้านกฎหมายหรือมาตรฐานความปลอดภัย

ข้อเสีย

  1. ต้นทุนสูง ต้องลงทุนในฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และการบำรุงรักษา
  2. การขยายตัวที่จำกัด ต้องใช้เวลามากขึ้นหากต้องการเพิ่มขยายทรัพยากร
  3. ต้องการทีมงานเฉพาะทาง ต้องมีทีมที่มีความเชี่ยวชาญดูแล

การเลือกใช้งาน

การเลือก Public หรือ Private Cloud ขึ้นอยู่กับความต้องการและทรัพยากรขององค์กร ดังนี้

เลือก Public Cloud หาก

  • องค์กรต้องการลดต้นทุนเริ่มต้น
  • มีความต้องการยืดหยุ่นในทรัพยากร
  • ไม่มีข้อมูลสำคัญที่ต้องการความปลอดภัยสูง
  • ต้องการเริ่มใช้งานอย่างรวดเร็ว

เลือก Private Cloud หาก

  • องค์กรต้องการควบคุมข้อมูลทั้งหมดเอง
  • มีข้อมูลสำคัญที่ต้องการความปลอดภัยสูง
  • ต้องการระบบที่ปรับแต่งให้เข้ากับความต้องการเฉพาะ
  • องค์กรปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เข้มงวด เช่น ด้านการเงินหรือการแพทย์

Hybrid Cloud ทางเลือกที่สามสำหรับองค์กร

Hybrid Cloud เป็นการผสมผสานข้อดีของ Public Cloud และ Private Cloud เพื่อให้องค์กรสามารถใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น โดยองค์กรสามารถเลือกจัดเก็บข้อมูลหรือดำเนินการบางอย่างใน Private Cloud เพื่อความปลอดภัยและการควบคุม ในขณะที่ใช้ Public Cloud สำหรับการประมวลผลทั่วไปหรืองานที่ต้องการการขยายตัวที่รวดเร็ว

โครงสร้างของ Hybrid Cloud

Hybrid Cloud ประกอบด้วยสองส่วนที่ทำงานร่วมกัน

  1. Private Cloud ใช้สำหรับข้อมูลที่มีความสำคัญสูง เช่น ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลการเงิน หรือระบบที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อกำหนดเฉพาะ
  2. Public Cloud ใช้สำหรับการประมวลผลทั่วไป การทดสอบระบบ (Development and Testing) หรือการรองรับโหลดที่สูงในบางช่วง (Scalable Workloads)

ตัวอย่างการทำงานร่วมกัน

  • บริษัทเก็บข้อมูลลูกค้าใน Private Cloud เพื่อความปลอดภัย แต่ใช้ Public Cloud ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data Analytics)
  • ธนาคารเก็บข้อมูลบัญชีลูกค้าใน Private Cloud แต่ใช้ Public Cloud ในการให้บริการแอปพลิเคชันบนมือถือ

ข้อดีของ Hybrid Cloud

  1. ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ
    • องค์กรสามารถจัดการงานที่หลากหลายได้โดยใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม
    • เพิ่ม-ลดทรัพยากรใน Public Cloud ได้ตามความต้องการ
  2. ควบคุมข้อมูลสำคัญได้
    • ข้อมูลที่ต้องการความปลอดภัยสูงจะยังอยู่ใน Private Cloud ซึ่งองค์กรควบคุมเอง
  3. ลดต้นทุน
    • งานทั่วไปหรืองานชั่วคราวที่ไม่จำเป็นต้องใช้ Private Cloud สามารถดำเนินการใน Public Cloud ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า
  4. การรองรับการเติบโต
    • Hybrid Cloud ช่วยให้องค์กรสามารถรองรับปริมาณงานเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม
  5. รองรับการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
    • ข้อมูลที่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดเฉพาะสามารถเก็บใน Private Cloud ในขณะที่งานอื่นๆ ดำเนินการใน Public Cloud

การใช้งาน Hybrid Cloud ที่เหมาะสม

Hybrid Cloud เหมาะสำหรับองค์กรที่

  • ต้องการลดต้นทุนของ Public Cloud แต่ยังต้องการความปลอดภัยสูงของ Private Cloud
  • มีความต้องการโหลดงานที่ผันผวน เช่น อีคอมเมิร์ซที่ต้องการเพิ่มทรัพยากรในช่วงโปรโมชั่น
  • ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎหมาย เช่น ในอุตสาหกรรมการเงิน การแพทย์ หรือพลังงาน

ตัวอย่างการใช้งาน Hybrid Cloud ในอุตสาหกรรม

  1. การเงิน ธนาคารเก็บข้อมูลลูกค้าใน Private Cloud แต่ใช้ Public Cloud สำหรับบริการแอปพลิเคชันที่ให้บริการลูกค้า
  2. อีคอมเมิร์ซ บริษัทเก็บข้อมูลการทำธุรกรรมใน Private Cloud แต่ใช้ Public Cloud เพื่อรองรับการจราจรในเว็บไซต์ในช่วงเทศกาลลดราคา
  3. สุขภาพ โรงพยาบาลจัดเก็บประวัติผู้ป่วยใน Private Cloud และใช้ Public Cloud สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการวิจัย

สรุป

Public Cloud เหมาะกับองค์กรที่ต้องการประหยัดต้นทุนและมีความยืดหยุ่นสูง ในขณะที่ Private Cloud เหมาะกับองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและการควบคุม สำหรับองค์กรที่ต้องการทั้งสองด้าน Hybrid Cloud เป็นตัวเลือกที่สมดุล การเลือกใช้งานควรพิจารณาตามความต้องการในปัจจุบันและเป้าหมายในอนาคตขององค์กร

การเลือกใช้งาน Public Cloud หรือ Private Cloud สำหรับองค์กรเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ความปลอดภัย และค่าใช้จ่ายขององค์กร การเลือกใช้ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับลักษณะของธุรกิจ ความต้องการเฉพาะทาง และเป้าหมายในอนาคตขององค์กร ต่อไปนี้คือข้อมูลสำคัญที่ช่วยในการตัดสินใจ

Public Cloud

Public Cloud คือการใช้บริการจากผู้ให้บริการคลาวด์ เช่น AWS, Microsoft Azure, Google Cloud ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานจะถูกแบ่งใช้ร่วมกันระหว่างผู้ใช้งานหลายองค์กร

ข้อดี

  1. ต้นทุนต่ำ ไม่มีค่าใช้จ่ายในการสร้างและดูแลโครงสร้างพื้นฐานเอง ผู้ใช้จ่ายเฉพาะที่ใช้งานจริง (Pay-as-you-go)
  2. ยืดหยุ่นและขยายตัวได้ง่าย สามารถเพิ่มหรือลดทรัพยากรได้ตามต้องการ
  3. ความพร้อมใช้งานสูง ผู้ให้บริการมักมีระบบสำรองและโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรง
  4. อัปเดตและฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้รับเทคโนโลยีล่าสุดโดยไม่ต้องจัดการเอง

ข้อเสีย

  1. ความปลอดภัย แม้จะมีมาตรการป้องกัน แต่ข้อมูลสำคัญอาจถูกจัดเก็บบนโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ร่วมกัน
  2. การควบคุม มีข้อจำกัดในการปรับแต่งระบบและโครงสร้างพื้นฐาน
  3. ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเมื่อใช้งานหนัก หากมีการใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ค่าใช้จ่ายอาจสูงกว่าที่คาดการณ์

Private Cloud

Private Cloud เป็นระบบคลาวด์ที่องค์กรสร้างและดูแลเอง หรืออาจจ้างผู้ให้บริการที่สร้างโครงสร้างพื้นฐานเฉพาะสำหรับองค์กรเดียว

ข้อดี

  1. ความปลอดภัยสูง เนื่องจากข้อมูลทั้งหมดถูกจัดเก็บในโครงสร้างพื้นฐานที่องค์กรควบคุม
  2. ควบคุมและปรับแต่งได้เต็มที่ สามารถออกแบบระบบให้เหมาะสมกับความต้องการของธุรกิจ
  3. เหมาะกับข้อกำหนดเฉพาะทาง เช่น อุตสาหกรรมที่มีข้อกำหนดด้านกฎหมายหรือมาตรฐานความปลอดภัย

ข้อเสีย

  1. ต้นทุนสูง ต้องลงทุนในฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และการบำรุงรักษา
  2. การขยายตัวที่จำกัด ต้องใช้เวลามากขึ้นหากต้องการเพิ่มขยายทรัพยากร
  3. ต้องการทีมงานเฉพาะทาง ต้องมีทีมที่มีความเชี่ยวชาญดูแล

การเลือกใช้งาน

การเลือก Public หรือ Private Cloud ขึ้นอยู่กับความต้องการและทรัพยากรขององค์กร ดังนี้

เลือก Public Cloud หาก

  • องค์กรต้องการลดต้นทุนเริ่มต้น
  • มีความต้องการยืดหยุ่นในทรัพยากร
  • ไม่มีข้อมูลสำคัญที่ต้องการความปลอดภัยสูง
  • ต้องการเริ่มใช้งานอย่างรวดเร็ว

เลือก Private Cloud หาก

  • องค์กรต้องการควบคุมข้อมูลทั้งหมดเอง
  • มีข้อมูลสำคัญที่ต้องการความปลอดภัยสูง
  • ต้องการระบบที่ปรับแต่งให้เข้ากับความต้องการเฉพาะ
  • องค์กรปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เข้มงวด เช่น ด้านการเงินหรือการแพทย์

Hybrid Cloud ทางเลือกที่สามสำหรับองค์กร

Hybrid Cloud เป็นการผสมผสานข้อดีของ Public Cloud และ Private Cloud เพื่อให้องค์กรสามารถใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น โดยองค์กรสามารถเลือกจัดเก็บข้อมูลหรือดำเนินการบางอย่างใน Private Cloud เพื่อความปลอดภัยและการควบคุม ในขณะที่ใช้ Public Cloud สำหรับการประมวลผลทั่วไปหรืองานที่ต้องการการขยายตัวที่รวดเร็ว

โครงสร้างของ Hybrid Cloud

Hybrid Cloud ประกอบด้วยสองส่วนที่ทำงานร่วมกัน

  1. Private Cloud ใช้สำหรับข้อมูลที่มีความสำคัญสูง เช่น ข้อมูลลูกค้า ข้อมูลการเงิน หรือระบบที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อกำหนดเฉพาะ
  2. Public Cloud ใช้สำหรับการประมวลผลทั่วไป การทดสอบระบบ (Development and Testing) หรือการรองรับโหลดที่สูงในบางช่วง (Scalable Workloads)

ตัวอย่างการทำงานร่วมกัน

  • บริษัทเก็บข้อมูลลูกค้าใน Private Cloud เพื่อความปลอดภัย แต่ใช้ Public Cloud ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Data Analytics)
  • ธนาคารเก็บข้อมูลบัญชีลูกค้าใน Private Cloud แต่ใช้ Public Cloud ในการให้บริการแอปพลิเคชันบนมือถือ

ข้อดีของ Hybrid Cloud

  1. ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ
    • องค์กรสามารถจัดการงานที่หลากหลายได้โดยใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม
    • เพิ่ม-ลดทรัพยากรใน Public Cloud ได้ตามความต้องการ
  2. ควบคุมข้อมูลสำคัญได้
    • ข้อมูลที่ต้องการความปลอดภัยสูงจะยังอยู่ใน Private Cloud ซึ่งองค์กรควบคุมเอง
  3. ลดต้นทุน
    • งานทั่วไปหรืองานชั่วคราวที่ไม่จำเป็นต้องใช้ Private Cloud สามารถดำเนินการใน Public Cloud ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า
  4. การรองรับการเติบโต
    • Hybrid Cloud ช่วยให้องค์กรสามารถรองรับปริมาณงานเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม
  5. รองรับการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
    • ข้อมูลที่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดเฉพาะสามารถเก็บใน Private Cloud ในขณะที่งานอื่นๆ ดำเนินการใน Public Cloud

การใช้งาน Hybrid Cloud ที่เหมาะสม

Hybrid Cloud เหมาะสำหรับองค์กรที่

  • ต้องการลดต้นทุนของ Public Cloud แต่ยังต้องการความปลอดภัยสูงของ Private Cloud
  • มีความต้องการโหลดงานที่ผันผวน เช่น อีคอมเมิร์ซที่ต้องการเพิ่มทรัพยากรในช่วงโปรโมชั่น
  • ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎหมาย เช่น ในอุตสาหกรรมการเงิน การแพทย์ หรือพลังงาน

ตัวอย่างการใช้งาน Hybrid Cloud ในอุตสาหกรรม

  1. การเงิน ธนาคารเก็บข้อมูลลูกค้าใน Private Cloud แต่ใช้ Public Cloud สำหรับบริการแอปพลิเคชันที่ให้บริการลูกค้า
  2. อีคอมเมิร์ซ บริษัทเก็บข้อมูลการทำธุรกรรมใน Private Cloud แต่ใช้ Public Cloud เพื่อรองรับการจราจรในเว็บไซต์ในช่วงเทศกาลลดราคา
  3. สุขภาพ โรงพยาบาลจัดเก็บประวัติผู้ป่วยใน Private Cloud และใช้ Public Cloud สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการวิจัย

สรุป

Public Cloud เหมาะกับองค์กรที่ต้องการประหยัดต้นทุนและมีความยืดหยุ่นสูง ในขณะที่ Private Cloud เหมาะกับองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและการควบคุม สำหรับองค์กรที่ต้องการทั้งสองด้าน Hybrid Cloud เป็นตัวเลือกที่สมดุล การเลือกใช้งานควรพิจารณาตามความต้องการในปัจจุบันและเป้าหมายในอนาคตขององค์กร

ที่มา : barn2.com

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *