ในยุคที่การฟังเพลงไร้สายได้รับความนิยมสูงสุด คำถามที่เกิดขึ้นบ่อยคือ “เสียงจะดีเท่ากับแบบมีสายหรือไม่” หนึ่งในอุปกรณ์ที่เข้ามาช่วยเติมเต็มช่องว่างของคุณภาพเสียงไร้สายคือ Bluetooth DAC/AMP ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยแปลงและขยายเสียงจากแหล่งกำเนิด เช่น สมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ ไปยังหูฟังหรือลำโพง

แต่คำถามสำคัญคือ Bluetooth DAC/AMP สามารถเพิ่มคุณภาพเสียงได้จริงหรือ หรือมันเป็นเพียงอุปกรณ์ที่เพิ่มความสะดวกเท่านั้น วันนี้เราจะมาเจาะลึกประเด็นนี้กัน

Bluetooth DAC/AMP คืออะไร

Bluetooth DAC/AMP เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ทั้งแปลงสัญญาณเสียงดิจิทัลเป็นอะนาล็อก (DAC – Digital-to-Analog Converter) และขยายเสียงให้มีพลังมากพอที่จะขับหูฟังหรือลำโพง (AMP – Amplifier) โดยเพิ่มความสะดวกในการเชื่อมต่อแบบไร้สายผ่าน Bluetooth แทนการใช้สายแบบเดิม

อุปกรณ์นี้ช่วยให้คุณภาพเสียงจากสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์เล่นเพลงดีขึ้นกว่าการใช้ Bluetooth ปกติ เนื่องจากมีการใช้ชิปประมวลผลเสียงที่มีคุณภาพสูง รองรับ codec ขั้นสูง เช่น aptX HD หรือ LDAC และมีภาคขยายเสียงที่สามารถขับหูฟังที่ต้องการกำลังขับสูงได้

Bluetooth DAC/AMP เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพกพาคุณภาพเสียงระดับ Audiophile ไปได้ทุกที่ โดยไม่ต้องพึ่งพาการเชื่อมต่อแบบมีสายทั้งหมด

Bluetooth DAC/AMP ทำงานอย่างไร

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า DAC (Digital-to-Analog Converter) และ AMP (Amplifier) ทำหน้าที่อะไร

  • DAC ทำหน้าที่แปลงสัญญาณเสียงดิจิทัลจากไฟล์เพลงหรือสตรีมมิ่งให้เป็นสัญญาณเสียงแบบอะนาล็อก ซึ่งเป็นสัญญาณที่หูฟังหรือลำโพงสามารถเล่นได้
  • AMP ขยายสัญญาณเสียงอะนาล็อกให้มีพลังมากพอที่จะขับหูฟังหรือลำโพง โดยเฉพาะหูฟังที่มีอิมพีแดนซ์สูงที่ต้องการกำลังขับมากกว่าปกติ

Bluetooth DAC/AMP ทำหน้าที่เหมือนกับ DAC/AMP ปกติ แต่เพิ่มฟังก์ชันเชื่อมต่อไร้สายผ่าน Bluetooth ทำให้สามารถรับสัญญาณเสียงจากอุปกรณ์ต้นทาง เช่น สมาร์ทโฟน และถอดรหัสสัญญาณเพื่อขับเสียงออกมาด้วยคุณภาพที่ดีขึ้นกว่าการใช้ Bluetooth ภายในอุปกรณ์ต้นทางเพียงอย่างเดียว

ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพเสียงของ Bluetooth DAC/AMP

แม้ว่า Bluetooth DAC/AMP จะช่วยให้เสียงดีขึ้นได้ แต่ก็ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อคุณภาพเสียงที่ได้รับ

Codec ที่รองรับ

Bluetooth มีหลายมาตรฐานการบีบอัดเสียงหรือ codec ซึ่งแต่ละตัวมีคุณภาพเสียงที่แตกต่างกัน ตัวอย่างของ codec ที่ใช้กันมาก ได้แก่

  • SBC เป็น codec มาตรฐานที่ใช้ในอุปกรณ์ Bluetooth ทั่วไป คุณภาพเสียงปานกลาง
  • AAC ใช้ในอุปกรณ์ของ Apple ให้เสียงที่ดีขึ้นกว่าปกติแต่ยังมีข้อจำกัดบางอย่าง
  • aptX มีเวอร์ชันต่าง ๆ เช่น aptX HD, aptX Adaptive ซึ่งให้คุณภาพเสียงสูงขึ้น ลดความหน่วงลง
  • LDAC พัฒนาโดย Sony รองรับ bit rate สูงสุด 990 kbps ทำให้เสียงใกล้เคียงกับ Hi-Res Audio มากที่สุด

หาก Bluetooth DAC/AMP รองรับ codec ที่มีคุณภาพสูงกว่าก็สามารถให้เสียงที่ใกล้เคียงต้นฉบับมากขึ้น

ชิป DAC และภาคขยายเสียง

คุณภาพของชิป DAC และภาคขยายเสียงในอุปกรณ์มีผลโดยตรงต่อคุณภาพเสียงที่ได้รับ ตัวอย่างของชิป DAC ยอดนิยมที่ใช้ใน Bluetooth DAC/AMP ได้แก่

  • ESS Sabre เช่น ES9018, ES9219
  • AKM เช่น AK4490, AK4497
  • Cirrus Logic เช่น CS43131

ภาคขยายเสียงมีผลต่อการขับหูฟัง โดยเฉพาะหูฟังแบบ High Impedance เช่น 100Ω ขึ้นไป หากภาคขยายเสียงมีกำลังขับไม่เพียงพอ เสียงอาจจะเบาหรือขาดความหนักแน่น

กำลังขับของอุปกรณ์

Bluetooth DAC/AMP แต่ละรุ่นให้กำลังขับต่างกัน โดยทั่วไปจะแสดงเป็น mW ต่ออิมพีแดนซ์ของหูฟัง ยิ่งหูฟังต้องการกำลังขับสูงเท่าไร ก็ยิ่งต้องการ AMP ที่มีกำลังขับสูงขึ้น

สัญญาณรบกวนและ Jitter

ปัญหาสำคัญของอุปกรณ์ไร้สายคือสัญญาณรบกวน หาก Bluetooth DAC/AMP มีระบบป้องกันสัญญาณรบกวนที่ดี ก็จะช่วยให้เสียงสะอาดและมีรายละเอียดที่ชัดเจนขึ้น

Bluetooth DAC/AMP กับการใช้งานจริง

ใช้กับสมาร์ทโฟน

หลายคนใช้ Bluetooth DAC/AMP กับสมาร์ทโฟนเพื่อเพิ่มคุณภาพเสียงให้กับหูฟังแบบมีสาย โดยเฉพาะในยุคที่สมาร์ทโฟนหลายรุ่นตัดช่อง 3.5 มม. ออกไป Bluetooth DAC/AMP จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการเสียงระดับ Audiophile บนมือถือ

ใช้กับคอมพิวเตอร์

สำหรับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊ก Bluetooth DAC/AMP สามารถช่วยลดเสียงรบกวนจากวงจรภายในและเพิ่มคุณภาพเสียงได้อย่างชัดเจน

ใช้กับเครื่องเสียงบ้าน

Bluetooth DAC/AMP ยังสามารถใช้เชื่อมต่อเครื่องเสียงบ้านหรือลำโพงแอคทีฟได้ ทำให้สามารถเล่นเพลงไร้สายได้โดยที่คุณภาพเสียงไม่ลดลงมากเหมือนการใช้ Bluetooth ปกติ

บทสรุป

เมื่อควรใช้ Bluetooth DAC/AMP

  • ต้องการอัปเกรดคุณภาพเสียงจาก Bluetooth ปกติ
  • ใช้หูฟังแบบมีสายที่ต้องการ DAC/AMP คุณภาพสูง
  • ต้องการความสะดวกในการฟังเพลงไร้สายโดยไม่ลดคุณภาพเสียงมาก
  • ฟังเพลงผ่านแหล่งที่รองรับ codec คุณภาพสูง เช่น LDAC, aptX HD

เมื่ออาจไม่จำเป็น

  • ใช้หูฟังหรืออุปกรณ์เสียงที่ไม่ได้รองรับคุณภาพสูงอยู่แล้ว
  • ฟังเพลงผ่าน codec พื้นฐาน SBC ซึ่งมีข้อจำกัดด้านคุณภาพเสียง
  • ไม่ต้องการพกพาอุปกรณ์เพิ่ม หรือใช้งานแบบไร้สายเป็นหลัก

Bluetooth DAC/AMP สามารถเพิ่มคุณภาพเสียงได้จริง หากเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพและรองรับเทคโนโลยีที่ดีพอ สำหรับผู้ที่ต้องการเสียงระดับ Hi-Fi แบบพกพา อุปกรณ์นี้ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *