วิธีแก้ คอมจอฟ้า Blue Screen of Death (BSOD) บน Windows 10 และ 11

วิธีแก้ไขปัญหา คอมจอฟ้า Blue Screen of Death (BSOD) บน Windows 10 และ 11

วิธีแก้ คอมจอฟ้า Blue Screen of Death (BSOD) หรือ “คอมจอฟ้า” เป็นปัญหาที่ผู้ใช้งาน Windows หลายคนเคยเผชิญอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ปัญหานี้มักเกิดขึ้นเมื่อระบบปฏิบัติการ Windows พบกับข้อผิดพลาดร้ายแรงที่ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ BSOD อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาเล็กๆ ไปจนถึงปัญหาใหญ่ที่เกี่ยวกับฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ ในบทความนี้ เราจะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับ BSOD รวมถึงวิธีแก้ไขปัญหาที่มีประสิทธิภาพเพื่อกู้คืนการทำงานของคอมพิวเตอร์อย่างละเอียด


BSOD คืออะไร

BSOD (Blue Screen of Death) คือ หน้าจอแสดงข้อผิดพลาดที่ปรากฏขึ้นเมื่อ Windows พบกับปัญหาร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบจนไม่สามารถดำเนินการต่อได้ หน้าจอสีน้ำเงินนี้มักมาพร้อมกับข้อความแสดงรหัสข้อผิดพลาด (Stop Code) หรือ QR Code ที่ผู้ใช้งานสามารถใช้ในการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อผิดพลาดนั้น

ตั้งแต่ Windows 10 เป็นต้นมา หน้าจอ BSOD ได้ถูกปรับปรุงให้ดูเข้าใจง่ายขึ้น โดยจะระบุข้อความและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์มากกว่าในอดีต ทำให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาวิธีแก้ไขได้สะดวกยิ่งขึ้น


สาเหตุของ BSOD จอฟ้า

BSOD สามารถเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ปัญหาเล็กน้อยไปจนถึงปัญหาร้ายแรง ด้านล่างนี้คือสาเหตุหลักๆ ของ BSOD:

  1. ซอฟต์แวร์ที่ไม่เข้ากัน
    การติดตั้งโปรแกรมใหม่หรือการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ไม่รองรับกับระบบปฏิบัติการหรือฮาร์ดแวร์อาจทำให้เกิด BSOD ได้ เช่น การอัปเดตไดรเวอร์ที่ไม่เหมาะสมหรือโปรแกรมที่มีปัญหา
  2. ไฟล์ระบบเสียหาย
    ไฟล์ที่สำคัญต่อการทำงานของ Windows เช่น ไฟล์ระบบ หรือรีจิสทรีอาจเสียหายจากไวรัส มัลแวร์ หรือการใช้งานที่ผิดพลาด
  3. ฮาร์ดแวร์ที่มีปัญหา
    ปัญหาเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์ เช่น หน่วยความจำ RAM เสีย ฮาร์ดดิสก์มีส่วนที่เสียหาย หรือการ์ดจอที่ร้อนเกินไปจากการโอเวอร์คล็อก
  4. ปัญหาการเชื่อมต่อฮาร์ดแวร์
    ฮาร์ดแวร์ที่เชื่อมต่อไม่แน่นหนาหรือเสียบสายผิดอาจทำให้ระบบทำงานผิดพลาดจนเกิด BSOD ได้

วิธีแก้ คอมจอฟ้า BSOD อย่างละเอียด

1. ปิดเครื่องและเปิดใหม่

เมื่อพบปัญหา BSOD ขั้นตอนแรกที่ควรทำคือการปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ กดปุ่มพาวเวอร์ค้างไว้จนเครื่องดับ การบังคับปิดเครื่องในกรณีที่เกิด BSOD ไม่ส่งผลเสียต่อระบบ เนื่องจากระบบได้หยุดทำงานไปแล้ว

2. ถอดอุปกรณ์ภายนอกที่ไม่จำเป็น

ถอดอุปกรณ์ USB หรือฮาร์ดแวร์ภายนอก เช่น ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก, เครื่องพิมพ์ หรือแฟลชไดรฟ์ เหลือเพียงเมาส์และคีย์บอร์ดที่จำเป็นในการควบคุมระบบ บางครั้งอุปกรณ์เหล่านี้หรือไดรเวอร์ที่ไม่สมบูรณ์อาจเป็นสาเหตุของ BSOD

3. เข้าสู่ Safe Mode

Safe Mode เป็นโหมดที่ Windows ทำงานด้วยฟังก์ชันพื้นฐานที่สุด โดยปิดการใช้งานซอฟต์แวร์หรือไดรเวอร์ที่ไม่จำเป็น วิธีนี้ช่วยให้สามารถตรวจสอบและแก้ไขปัญหาได้โดยไม่ต้องเผชิญกับ BSOD ซ้ำ

วิธีเข้าสู่ Safe Mode:

  1. เปิดเครื่องตามปกติ
  2. กดปุ่ม Shift ค้างไว้ขณะเลือก Restart
  3. เลือก Troubleshoot > Advanced Options > Startup Settings > Restart
  4. กดปุ่ม F5 เพื่อเข้าสู่ Safe Mode with Networking

4. ถอนการติดตั้งโปรแกรมที่อาจเป็นสาเหตุ

ใน Safe Mode ให้ถอนการติดตั้งโปรแกรมที่เพิ่งติดตั้งหรืออัปเดตไปก่อนที่ BSOD จะเกิดขึ้น โดยไปที่ Add or Remove Programs และเลือกโปรแกรมที่น่าสงสัยแล้วกด Uninstall

ถอนการติดตั้งโปรแกรมที่อาจเป็นสาเหตุ
ถอนการติดตั้งโปรแกรมที่อาจจะเป็นสาเหตุให้จอฟ้า
ถอนการติดตั้งโปรแกรมที่อาจจะเป็นสาเหตุให้จอฟ้า

5. อัปเดตหรือ Roll back ไดรเวอร์

บางครั้งไดรเวอร์ที่อัปเดตล่าสุดอาจไม่เข้ากันกับระบบ ให้ลองย้อนกลับไดรเวอร์ไปยังเวอร์ชันก่อนหน้า โดยทำตามขั้นตอนดังนี้:

  1. เปิด Device Manager
  2. คลิกขวาที่อุปกรณ์ที่สงสัย (เช่น Display Adapter)
  3. เลือก Properties
  4. ไปที่แท็บ Driver แล้วคลิก Roll Back Driver
เปิด Device Manager
เปิด Device Manager
คลิกขวาที่อุปกรณ์ที่สงสัย (เช่น Display Adapter)
เลือก Properties
คลิกขวาที่อุปกรณ์ที่สงสัย (เช่น Display Adapter)
เลือก Properties
ไปที่แท็บ Driver แล้วคลิก Roll Back Driver
ไปที่แท็บ Driver แล้วคลิก Roll Back Driver

6. ตรวจสอบมัลแวร์

มัลแวร์อาจทำลายไฟล์ระบบที่สำคัญ ซึ่งนำไปสู่ BSOD การสแกนหาไวรัสและมัลแวร์จึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ใช้โปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่เชื่อถือได้และทำการสแกนอย่างละเอียด

7. สแกนและซ่อมแซมไฟล์ระบบ

ไฟล์ระบบที่หายไปหรือเสียหายสามารถทำให้เกิด BSOD ได้ การใช้เครื่องมือ System File Checker (SFC) จะช่วยซ่อมแซมไฟล์เหล่านี้ได้

วิธีใช้ SFC:

  1. เปิด Command Prompt ในโหมดผู้ดูแลระบบ
  2. พิมพ์ sfc /scannow แล้วกด Enter
  3. รอให้การสแกนเสร็จสิ้น
เปิด Command Prompt ในโหมดผู้ดูแลระบบ
เปิด Command Prompt ในโหมดผู้ดูแลระบบ
พิมพ์ sfc /scannow แล้วกด Enter
พิมพ์ sfc /scannow แล้วกด Enter

8. ตรวจสอบฮาร์ดดิสก์

การสแกนฮาร์ดดิสก์สามารถตรวจสอบและซ่อมแซมส่วนที่เสียหายได้

วิธีใช้ CHKDSK:

  1. เปิด Command Prompt ในโหมดผู้ดูแลระบบ
  2. พิมพ์ chkdsk แล้วกด Enter
  3. หากพบข้อผิดพลาด ให้พิมพ์ chkdsk /r เพื่อซ่อมแซมฮาร์ดดิสก์
เปิด Command Prompt ในโหมดผู้ดูแลระบบ
เปิด Command Prompt ในโหมดผู้ดูแลระบบ
พิมพ์ chkdsk แล้วกด Enter
หากพบข้อผิดพลาด ให้พิมพ์ chkdsk /r เพื่อซ่อมแซมฮาร์ดดิสก์
พิมพ์ chkdsk แล้วกด Enter หากพบข้อผิดพลาด ให้พิมพ์ chkdsk /r เพื่อซ่อมแซมฮาร์ดดิสก์

9. ตรวจสอบ RAM

ปัญหา RAM ที่เสียหายอาจเป็นสาเหตุของ BSOD ใช้เครื่องมือ Windows Memory Diagnostic เพื่อตรวจสอบสถานะของ RAM

วิธีตรวจสอบ RAM:

  1. เปิด Windows Memory Diagnostic
  2. เลือก Restart now and check for problems
  3. รอผลการทดสอบที่จะแสดงเมื่อระบบเริ่มทำงานใหม่
เปิด Windows Memory Diagnostic
เปิด Windows Memory Diagnostic
เลือก Restart now and check for problems
รอผลการทดสอบที่จะแสดงเมื่อระบบเริ่มทำงานใหม่
เลือก Restart now and check for problems รอผลการทดสอบที่จะแสดงเมื่อระบบเริ่มทำงานใหม่

10. รีสตาร์ทคอมพิวเตอร์และตรวจสอบผล

หลังจากดำเนินการตามขั้นตอนการแก้ไขปัญหา BSOD ให้รีสตาร์ทคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบว่าปัญหาได้รับการแก้ไขหรือไม่ หากหน้าจอสีน้ำเงินไม่ปรากฏขึ้นอีก นั่นหมายความว่าคุณได้แก้ไขปัญหาสำเร็จแล้ว

การนำซอฟต์แวร์และไดรเวอร์กลับมาติดตั้งใหม่

หลังจากแก้ไขปัญหาแล้ว คุณสามารถติดตั้งซอฟต์แวร์หรือไดรเวอร์ที่เคยถอนการติดตั้งออกไปได้อีกครั้ง โดยทำตามคำแนะนำดังนี้:

  1. ดาวน์โหลดไดรเวอร์จากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น เว็บไซต์ของผู้ผลิตฮาร์ดแวร์
  2. ติดตั้งทีละตัว เพื่อให้สามารถระบุได้ว่ามีโปรแกรมหรือไดรเวอร์ใดที่อาจทำให้เกิดปัญหา
  3. เริ่มต้นด้วย Windows Update ตามด้วยไดรเวอร์ที่สำคัญ เช่น การ์ดจอและเสียง

การป้องกันการเกิด BSOD ในอนาคต

  • ใช้ซอฟต์แวร์อัปเดตไดรเวอร์ เพื่อช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดจากไดรเวอร์ที่ล้าสมัย
  • หมั่น ล้างไฟล์ขยะ และ ถอนการติดตั้งโปรแกรมที่ไม่จำเป็น อย่างสม่ำเสมอ

11. กู้คืนข้อมูลและติดตั้ง Windows ใหม่

หากทุกขั้นตอนที่ผ่านมายังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ การติดตั้ง Windows ใหม่อาจเป็นทางเลือกสุดท้าย อย่างไรก็ตาม การดำเนินการนี้จะลบข้อมูลทั้งหมดในระบบ ดังนั้น ควร สำรองข้อมูล ไว้ก่อนเริ่มกระบวนการ

การสำรองข้อมูล

  • ใช้ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอกหรือบริการคลาวด์ เช่น Google Drive หรือ OneDrive
  • หากสามารถเข้าถึง Safe Mode ได้ ให้คัดลอกไฟล์ที่สำคัญไปยังที่ปลอดภัย

วิธีติดตั้ง Windows ใหม่

  1. ดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้ง Windows จากเว็บไซต์ Microsoft
  2. ใช้ USB Bootable Drive หรือ DVD เพื่อติดตั้ง
  3. ทำตามคำแนะนำบนหน้าจอ และเลือกลบข้อมูลเก่าเพื่อทำการติดตั้งระบบใหม่ทั้งหมด

รหัสข้อผิดพลาด BSOD ที่พบบ่อยและความหมาย

การเข้าใจรหัสข้อผิดพลาดสามารถช่วยให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ต่อไปนี้คือรหัสข้อผิดพลาดที่พบบ่อย:

  1. CRITICAL_PROCESS_DIED
    เกิดขึ้นเมื่อกระบวนการสำคัญของระบบหยุดทำงาน อาจเกิดจากการปิดโปรแกรมใน Task Manager โดยไม่ตั้งใจ
  2. SYSTEM_THREAD_EXCEPTION_NOT_HANDLED
    มักเกิดจากไดรเวอร์ที่ล้าสมัยหรือเสียหาย การอัปเดตหรือย้อนกลับไดรเวอร์สามารถช่วยแก้ไขได้
  3. IRQL_NOT_LESS_OR_EQUAL
    เกิดจากการเข้าถึงหน่วยความจำที่เกินกว่าที่กำหนด อาจแก้ไขได้ด้วยการสแกนไฟล์ระบบหรือแก้ไขไดรเวอร์
  4. VIDEO_TDR_TIMEOUT_DETECTED
    ข้อผิดพลาดนี้เกี่ยวข้องกับการ์ดจอหรือ GPU ที่ทำงานเกินขีดจำกัด หรืออาจเกิดจากไดรเวอร์ที่เสียหาย
  5. PAGE_FAULT_IN_NONPAGED_AREA
    เกิดจากการอ้างอิงหน่วยความจำที่ไม่มีอยู่จริง อาจเป็นปัญหาจากไดรเวอร์ ระบบ หรือ RAM ที่เสียหาย
  6. DPC_WATCHDOG_VIOLATION
    แสดงเมื่อไดรเวอร์ของอุปกรณ์ล้าสมัยหรือเข้ากันไม่ได้ บางครั้งไฟล์ระบบที่เสียหายก็อาจเป็นสาเหตุได้
  7. NTFS_FILE_SYSTEM
    ชี้ไปที่ฮาร์ดดิสก์ที่เสียหาย การสแกนดิสก์และซ่อมแซมไฟล์ระบบสามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้
  8. DATA_BUS_ERROR
    เป็นรหัสข้อผิดพลาดที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์ซึ่งอาจเสียหายหรือเข้ากันไม่ได้ หากแก้ไขปัญหาไม่ได้ อาจต้องถอดฮาร์ดแวร์ออก

การป้องกัน คอมจอฟ้า หรือ BSOD

  1. ทำความสะอาดเครื่องเป็นประจำ
    การลบไฟล์ขยะและโปรแกรมที่ไม่จำเป็นจะช่วยเพิ่มพื้นที่และลดโอกาสเกิดปัญหา
  2. อัปเดตระบบและซอฟต์แวร์
    หมั่นอัปเดต Windows และไดรเวอร์อย่างสม่ำเสมอเพื่อลดช่องโหว่ที่อาจนำไปสู่ข้อผิดพลาด
  3. ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัส
    เพื่อป้องกันไวรัสและมัลแวร์ที่อาจทำลายไฟล์ระบบ
  4. ตรวจสอบฮาร์ดแวร์
    ตรวจสอบความร้อนของระบบและสภาพของฮาร์ดแวร์ เช่น RAM และฮาร์ดดิสก์ เพื่อป้องกันการเสียหาย

สรุป

การแก้ไขปัญหา BSOD ไม่ใช่เรื่องยากหากดำเนินการตามขั้นตอนที่แนะนำในบทความนี้ ความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุของ BSOD และวิธีป้องกันจะช่วยให้คุณใช้งานคอมพิวเตอร์ได้อย่างราบรื่นมากขึ้น หมั่นดูแลระบบอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต

ที่มา : avast

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *