เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว Redmi Watch 4 และ Redmi Buds 5 Pro

Redmi จัดงานเปิดตัวครั้งใหญ่ในประเทศจีนวันนี้ โดยเราได้รับสมาร์ทโฟนซีรีส์ Redmi K70 ใหม่ ควบคู่ไปกับอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะใหม่ 2 รายการ ได้แก่ Redmi Watch 4 และ Redmi Buds 5 Pro หูฟังไร้สาย Watch 4 มาพร้อมรูปลักษณ์ที่ออกแบบใหม่ด้วย AMOLED ขนาดใหญ่ 1.96 นิ้ว และสายนาฬิกาที่มีสไตล์สวยงามมากมาย ในขณะที่ Buds 5 Pro นำเสนอเสียงความละเอียดสูง, ANC และเล่นได้นานถึง 38 ชั่วโมง

Redmi Watch 4

Redmi Watch 4 ใช้หน้าจอ AMOLED ขนาด 1.96 นิ้ว ความละเอียด 390 x 450 พิกเซล รองรับรีเฟรชเรต 60 Hz โดยสามารถให้ความสว่างสูงสุด 600 นิตส์ พร้อมรองรับฟีเจอร์ Always-On display โดยรุ่นนี้ได้รับการดีไซน์ใหม่เป็นสมาร์ตวอตช์รุ่นแรกของ Redmi ที่ใช้เคสวัสดุอลูมิเนียมอัลลอยและกันน้ำได้สูงสุดที่แรงดัน 5ATM

ในด้านซอฟต์แวร์จะมี HyperOS ของ Xiaomi โดยผู้ใช้จะได้รับระบบนำทางด้วยดาวเทียม GNSS, NFC, การเชื่อมต่อ Bluetooth 5.3 รวมถึงฟีเจอร์ติดตามสุขภาพทั้งการวัดอัตราการเต้นหัวใจ, ออกซิเจนในเลือด, การนอนหลับ, ความเครียด และโหมดติดตามกิจกรรมต่าง ๆ กว่า 150 โปรแกรม

แบตเตอรี่ของ Watch 4 มีความจุ 470 mAh ซึ่ง Redmi เผยว่าสามารถใช้งานได้สูงสุด 10 วันหากเปิดใช้งานฟีเจอร์ Always-On Display และการติดตามด้านสุขภาพ แต่หากไม่ได้ใช้ฟีเจอร์แบบเต็มที่ก็สามารถใช้งานได้นานสุด 20 วัน

สำหรับราคาของ Redmi Watch 4 จะวางขายในประเทศจีนที่ราคา 499 หยวน หรือราว 2,500 บาท

Redmi Buds 5 Pro

Redmi Buds 5 Pro มาในรูปแบบหูฟัง in-ear ทั่วไป ที่ใช้ dynamic driver ดอกลำโพงทวีตเตอร์เคลือบเซรามิกขนาด 10 มม. และวูฟเฟอร์ (titanium-plated woofer) ขนาด 11 มม. รองรับ LHDC 5.0 สามารถเล่นเพลงระดับ Hi-Res audio และมีฟีเจอร์ตัดเสียงรบกวน ANC ที่ Redmi โฆษณาว่า ตัดเสียงได้สูงสุด 52dB

Buds 5 Pro จะรองรับ Bluetooth 5.3 ในขณะที่รุ่นพิเศษเวอร์ชันอีสปอร์ต จะมีตัวส่งสัญญาณ USB-C 2.4Ghz ที่สามารถลดความหน่วงให้เหลือ 20ms ได้

Redmi เผยว่า การใช้ Buds 5 Pro ร่วมกับการชาร์จจากเคสจะสามารถใช้งานได้นาน 38 ชั่วโมง โดยหากเปิดใช้งานโหมดตัดเสียงรบกวนจะใช้งานได้นาน 6.5 ชั่วโมง ในขณะที่เมื่อปิดโหมดดังกล่าวจะใช้งานได้นานขึ้นเป็น 10 ชั่วโมง

สำหรับ Redmi Buds 5 Pro มีตัวเลือก 4 สี ได้แก่ ดำ, ขาว, ฟ้า และดำ/ส้ม ซึ่งเวอร์ชันธรรมดาจะวางขายที่ประเทศจีนในราคา 399 หยวน (ราว 2,000 บาท) ส่วนเวอร์ชันอีสปอร์ต (สีดำ/ส้ม) จะมีราคา 499 หยวน (ราว 2,500 บาท)

แหล่งที่มา :

    • ภาพและบทความภาษาไทยคัดลอกจาก beartai.com

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *